ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ USC

USC มักจะหมายถึงลวดเชื่อมที่ผลิตโดยบริษัท United Speciality Consumables (USC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับการเชื่อมและพอกผิวแข็งที่มีชื่อเสียง

คุณสมบัติและประเภทของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ USC:

USC มีลวดเชื่อมหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาสำหรับการซ่อมแซมแม่พิมพ์ชนิดต่างๆ โดยครอบคลุมวัสดุแม่พิมพ์ที่นิยมใช้กัน เช่น:

  • เหล็กกล้าเครื่องมืองานเย็น (Cold Work Tool Steels): เช่น SKD11, D2, O1, A2
  • เหล็กกล้าเครื่องมือขึ้นรูปร้อน (Hot Work Tool Steels): เช่น H13, H11
  • เหล็กกล้าแม่พิมพ์พลาสติก (Plastic Mold Steels): เช่น P20, 420, S136
  • เหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steels): สำหรับแม่พิมพ์ที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อน

คุณสมบัติเด่นของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ USC โดยทั่วไป:

  • คุณภาพสูง: USC เป็นที่รู้จักในด้านการผลิตลวดเชื่อมที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง
  • ส่วนประกอบทางเคมีที่แม่นยำ: ลวดเชื่อมของ USC มักจะมีส่วนประกอบทางเคมีที่ควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้คุณสมบัติทางกลและทางโลหะวิทยาที่ดีที่สุดสำหรับวัสดุแม่พิมพ์แต่ละชนิด
  • ความหลากหลาย: มีลวดเชื่อมให้เลือกหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานกับแม่พิมพ์หลายประเภทและหลายเกรด
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: ลวดเชื่อมถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย ให้แนวเชื่อมที่สม่ำเสมอ และมีปริมาณสะเก็ดน้อย
  • คุณสมบัติทางกลที่เหมาะสม: แนวเชื่อมที่ได้จะมีคุณสมบัติทางกล เช่น ความแข็ง ความเหนียว และความทนทานต่อการสึกหรอ ที่เหมาะสมกับการใช้งานแม่พิมพ์
  • ความต้านทานการแตกร้าวที่ดี: ลวดเชื่อมคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในแนวเชื่อม

ตัวอย่างลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ USC ที่อาจเป็นที่รู้จัก:

  • USC Mold 420: สำหรับซ่อมแซมแม่พิมพ์ที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิม 420 หรือ S136 ให้ความต้านทานการกัดกร่อนที่ดีและความสามารถในการขัดเงา
  • USC H13: สำหรับซ่อมแซมแม่พิมพ์งานร้อนที่ทำจากเหล็ก H13 ให้ความแข็งแรงที่อุณหภูมิสูงและความทนทานต่อการแตกร้าวจากความร้อน
  • USC P20: สำหรับซ่อมแซมแม่พิมพ์พลาสติกที่ทำจากเหล็ก P20 ให้ความเหนียวและความสามารถในการขัดเงาที่ดี
  • USC SKD11: สำหรับซ่อมแซมแม่พิมพ์งานเย็นที่ทำจากเหล็ก SKD11 ให้ความแข็งและความทนทานต่อการสึกหรอสูง

การเลือกใช้ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ USC:

ในการเลือกลวดเชื่อม USC ที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณา:

  • วัสดุฐานของแม่พิมพ์: เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนประกอบทางเคมีที่เข้ากันได้กับวัสดุแม่พิมพ์
  • ประเภทของความเสียหาย: พิจารณาว่าเป็นการสึกหรอ การแตกร้าว การบิ่น หรือความเสียหายอื่นๆ
  • ข้อกำหนดด้านคุณสมบัติ: พิจารณาความแข็ง ความเหนียว ความต้านทานการกัดกร่อน หรือคุณสมบัติอื่นๆ ที่ต้องการหลังการซ่อมแซม
  • กระบวนการเชื่อม: เลือกลวดเชื่อมที่เหมาะสมกับกระบวนการเชื่อมที่จะใช้ (เช่น TIG, MIG)

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136 เป็นลวดเชื่อมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์พลาสติก โดยเฉพาะแม่พิมพ์ที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อนสูง ความสามารถในการขัดเงาที่ดีเยี่ยม และความแข็งแรงในระดับปานกลาง วัสดุฐานของแม่พิมพ์มักจะเป็นเหล็กกล้าไร้สนิมประเภท 420 martensitic stainless steel หรือเทียบเท่า ซึ่งมีโครเมียม (Cr) สูง

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก S136 หรือเหล็กกล้าไร้สนิม Martensitic ที่มีโครเมียมสูง (ประมาณ 13-17%) และอาจมีส่วนผสมของนิกเกิล (Ni) และโมลิบดีนัม (Mo) ในปริมาณเล็กน้อย เพื่อให้แนวเชื่อมมีความทนทานต่อการกัดกร่อนและความแข็งแรงที่เหมาะสม
  • ความต้านทานการกัดกร่อนสูง: เป็นคุณสมบัติเด่นของลวดเชื่อม S136 ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานกับเรซินพลาสติกที่มีฤทธิ์กัดกร่อน หรือในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
  • ความสามารถในการขัดเงาที่ดีเยี่ยม: แนวเชื่อมที่ได้สามารถขัดเงาให้ได้ผิวสำเร็จที่ดีมาก เหมาะสำหรับแม่พิมพ์ที่ต้องการคุณภาพผิวสูงของชิ้นงานพลาสติก
  • ความแข็ง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งอยู่ในช่วงประมาณ 45-55 HRC ซึ่งเป็นระดับความแข็งที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานแม่พิมพ์พลาสติกที่ต้องการความทนทานต่อการสึกหรอในระดับหนึ่ง
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม S136 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: ลวดเชื่อมคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในแนวเชื่อมและบริเวณใกล้เคียง

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม S136:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องการความต้านทานการกัดกร่อนและผิวสำเร็จที่ดี
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG) ด้วยแก๊สคลุมที่เป็นอาร์กอนผสม: สามารถใช้ได้ในบางกรณี แต่ต้องควบคุมความร้อนอย่างระมัดระวัง

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน ออกไซด์ และคราบสนิม
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): การให้ความร้อนก่อนการเชื่อม (Preheating) ที่อุณหภูมิประมาณ 150-300 °C อาจช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าว การอบอ่อนหลังการเชื่อม (Post-welding Annealing) อาจจำเป็นในบางกรณีเพื่อลดความเค้นตกค้างและปรับปรุงความเหนียว
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสมกับเหล็ก S136 หรือวัสดุฐานของแม่พิมพ์ และมีปริมาณโครเมียมที่สูงเพื่อให้มั่นใจในความต้านทานการกัดกร่อน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการสูญเสียคุณสมบัติในการต้านทานการกัดกร่อน
  • การใช้แก๊สคลุมที่เหมาะสม: ใช้แก๊สคลุมอาร์กอนบริสุทธิ์ หรืออาร์กอนผสม เพื่อป้องกันการออกซิเดชั่นของแนวเชื่อมและรักษาคุณสมบัติทางเคมี

สรุป:

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ S136 เป็นวัสดุที่สำคัญสำหรับการซ่อมแซมแม่พิมพ์พลาสติกที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อนสูงและความสามารถในการขัดเงาที่ดีเยี่ยม การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสมและปฏิบัติตามขั้นตอนการเชื่อมที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิและการใช้แก๊สคลุมที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดี

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 718

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 718 เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะ โดยเฉพาะแม่พิมพ์ที่มีฐานวัสดุเป็นเหล็กกล้าเครื่องมือ P20+Ni หรือเทียบเท่า ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในด้านความแข็งแรงที่ดี ความเหนียวสูง และความสามารถในการขัดเงาได้ดีเยี่ยม เนื่องจากมีการเติมนิกเกิล (Ni) เข้าไป

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 718:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก P20 ที่มีการเพิ่มนิกเกิล (ประมาณ 0.8-1.1%) ซึ่งช่วยเพิ่มความเหนียวและความสามารถในการขัดเงา
  • ความแข็ง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งอยู่ในช่วงประมาณ 30-40 HRC ซึ่งเป็นระดับความแข็งที่เหมาะสมสำหรับแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะที่ไม่ต้องการความแข็งสูงมากนัก แต่เน้นความเหนียวและความสามารถในการขัดเงาที่ดีเยี่ยม
  • ความเหนียวสูง: การเติมนิกเกิลช่วยเพิ่มความเหนียวให้กับแนวเชื่อม ทำให้ทนทานต่อการกระแทกและการสึกหรอได้ดี
  • ความสามารถในการขัดเงาที่ดีเยี่ยม: เป็นจุดเด่นของลวดเชื่อม 718 แนวเชื่อมสามารถขัดเงาให้ได้ผิวสำเร็จที่เรียบและเงางามเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับส่วนประกอบของแม่พิมพ์ที่ต้องการคุณภาพผิวสูง
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม 718 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: มีความเสี่ยงในการแตกร้าวน้อยกว่าลวดเชื่อมที่มีความแข็งสูงมาก

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม 718:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 718 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องการผิวสำเร็จที่ดี
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG): สามารถใช้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะการซ่อมแซมบริเวณที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องควบคุมความร้อนให้ดี

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 718:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): โดยทั่วไปแล้ว การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมสำหรับเหล็ก P20+Ni อาจไม่จำเป็นเท่าเหล็กที่มีความแข็งสูง แต่ในบางกรณีที่ชิ้นงานมีขนาดใหญ่หรือมีความหนามาก การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 °C อาจช่วยลดความเค้นตกค้างได้
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นลวดเชื่อม 718 แท้ และมีขนาดที่เหมาะสมกับงาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ H13

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ H13 เป็นลวดเชื่อมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์ที่ทำจากเหล็กกล้าเครื่องมือเกรด H13 ซึ่งเป็นเหล็กกล้างานร้อนที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านความทนทานต่อความร้อนสูง ความเหนียวที่ดี และความต้านทานต่อการแตกร้าวจากความร้อน (heat checking) ทำให้เหมาะสำหรับแม่พิมพ์ฉีดอลูมิเนียม แม่พิมพ์หล่อ และแม่พิมพ์ขึ้นรูปร้อนอื่นๆ

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ H13:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก H13 ซึ่งโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของโครเมียม โมลิบดีนัม และวาเนเดียมในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้แนวเชื่อมมีความแข็งแรง ความเหนียว และคุณสมบัติทางกลอื่นๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานแม่พิมพ์งานร้อน
  • ความแข็งสูงที่อุณหภูมิสูง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งที่ดีแม้ในขณะที่แม่พิมพ์มีอุณหภูมิสูงระหว่างการใช้งาน
  • ทนทานต่อการแตกร้าวจากความร้อน (Heat Checking Resistance): ออกแบบมาเพื่อทนทานต่อการแตกร้าวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในการใช้งานแม่พิมพ์งานร้อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในแม่พิมพ์ประเภทนี้
  • ทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อน: มีความทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนจากโลหะหลอมเหลว
  • ความเหนียวที่ดี: มีความเหนียวที่ดีกว่าเหล็กกล้าเครื่องมือบางชนิด ทำให้ทนทานต่อการแตกหัก
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม H13 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: ลวดเชื่อมคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในแนวเชื่อมและบริเวณใกล้เคียง

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม H13:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ H13 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG): สามารถใช้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะการซ่อมแซมบริเวณที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องควบคุมความร้อนให้ดี

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ H13:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): เหล็ก H13 เป็นเหล็กกล้าที่ต้องให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมอย่างระมัดระวัง การให้ความร้อนก่อนการเชื่อม (Preheating) จะช่วยลดความแตกต่างของอุณหภูมิและลดความเสี่ยงของการแตกร้าว ส่วนการอบคืนไฟหลังการเชื่อม (Post-welding Tempering) จะช่วยลดความเค้นตกค้างและปรับปรุงคุณสมบัติทางกลของแนวเชื่อม อุณหภูมิที่ใช้จะขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของชิ้นงาน
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับเหล็ก H13 และลักษณะการใช้งาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน
  • การเชื่อมหลายแนว (Multi-pass Welding): ในกรณีที่ต้องเติมเนื้อโลหะจำนวนมาก การเชื่อมหลายแนวโดยควบคุมอุณหภูมิระหว่างแนวเชื่อม (Interpass Temperature) จะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าว

ตัวอย่างยี่ห้อหรือประเภทของลวดเชื่อม H13 ที่มีจำหน่าย:

  • NICHIA BKD-H13R: เป็นลวดเชื่อมอาร์กอน TIG จากประเทศญี่ปุ่นที่ออกแบบมาสำหรับเชื่อมเหล็ก H13 โดยเฉพาะ ให้ความแข็งประมาณ 45-50 HRC หลังการอบชุบแข็งและอบคืนไฟ
  • ลวดเชื่อม TIG TIC H13: มีจำหน่ายทั่วไป มักระบุความแข็งไว้ใกล้เคียงกับเหล็ก H13 เดิมหลังการอบชุบแข็งและอบคืนไฟ
  • ลวดเชื่อมเลเซอร์ H13: มีจำหน่ายสำหรับงานซ่อมแซมที่ต้องการความแม่นยำสูง

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ P20

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ P20 เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะ โดยเฉพาะแม่พิมพ์ที่มีฐานวัสดุเป็นเหล็กกล้าเครื่องมือ P20 ซึ่งเป็นเหล็กกล้าผสมต่ำที่มีความแข็งแรงปานกลาง มีความเหนียวดี และสามารถขัดเงาได้ดี

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ P20:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก P20 ซึ่งโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของโครเมียมและโมลิบดีนัมในปริมาณที่เหมาะสม
  • ความแข็ง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งอยู่ในช่วงประมาณ 30-40 HRC ซึ่งเป็นระดับความแข็งที่เหมาะสมสำหรับแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะที่ไม่ต้องการความแข็งสูงมากนัก แต่เน้นความเหนียวและความสามารถในการขัดเงา
  • ความเหนียวที่ดี: มีความเหนียวที่ดี ทำให้ทนทานต่อการกระแทกและการสึกหรอในระดับหนึ่ง
  • ความสามารถในการขัดเงาที่ดี: แนวเชื่อมที่ได้สามารถขัดเงาให้ได้ผิวสำเร็จที่ดี เหมาะสำหรับส่วนประกอบของแม่พิมพ์ที่ต้องการความเรียบและเงางาม
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม P20 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: มีความเสี่ยงในการแตกร้าวน้อยกว่าลวดเชื่อมที่มีความแข็งสูงมาก

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม P20:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ P20 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG): สามารถใช้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะการซ่อมแซมบริเวณที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องควบคุมความร้อนให้ดี

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ P20:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): โดยทั่วไปแล้ว การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมสำหรับเหล็ก P20 อาจไม่จำเป็นเท่าเหล็กที่มีความแข็งสูง แต่ในบางกรณีที่ชิ้นงานมีขนาดใหญ่หรือมีความหนามาก การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 °C อาจช่วยลดความเค้นตกค้างได้
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นลวดเชื่อม P20 แท้ และมีขนาดที่เหมาะสมกับงาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD61

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD61 เป็นลวดเชื่อมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์ที่ทำจากเหล็กกล้าเครื่องมือ SKD61 ซึ่งเป็นเหล็กกล้าที่มีความทนทานต่อความร้อนสูง มีความเหนียว และทนทานต่อการสึกหรอได้ดีเยี่ยม ทำให้เหมาะสำหรับแม่พิมพ์งานร้อน เช่น แม่พิมพ์ฉีดอลูมิเนียม แม่พิมพ์หล่อ และแม่พิมพ์ขึ้นรูปร้อน

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD61:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก SKD61 ซึ่งมีส่วนผสมของโครเมียม โมลิบดีนัม และวาเนเดียม เพื่อให้แนวเชื่อมมีความแข็งแรง ความเหนียว และคุณสมบัติทางกลอื่นๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานแม่พิมพ์งานร้อน
  • ความแข็งสูงที่อุณหภูมิสูง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งที่ดีแม้ในขณะที่แม่พิมพ์มีอุณหภูมิสูงระหว่างการใช้งาน
  • ทนทานต่อการแตกร้าวจากความร้อน (Heat Checking Resistance): ออกแบบมาเพื่อทนทานต่อการแตกร้าวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในการใช้งานแม่พิมพ์งานร้อน
  • ทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อน: มีความทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนจากโลหะหลอมเหลว
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม SKD61 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: ลวดเชื่อมคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในแนวเชื่อมและบริเวณใกล้เคียง

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม SKD61:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD61 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG): สามารถใช้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะการซ่อมแซมบริเวณที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องควบคุมความร้อนให้ดี

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD61:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): เหล็ก SKD61 เป็นเหล็กที่มีความแข็งสูงและใช้งานที่อุณหภูมิสูง การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมตามอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อลดความเค้นตกค้าง ป้องกันการแตกร้าว และให้คุณสมบัติทางกลที่ดีที่สุด
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับเหล็ก SKD61 และลักษณะการใช้งาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน
  • การเชื่อมหลายแนว (Multi-pass Welding): ในกรณีที่ต้องเติมเนื้อโลหะจำนวนมาก การเชื่อมหลายแนวโดยควบคุมอุณหภูมิระหว่างแนวเชื่อม (Interpass Temperature) จะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าว

ตัวอย่างยี่ห้อหรือประเภทของลวดเชื่อม SKD61 ที่มีจำหน่าย:

  • NICHIA BKD-61R: เป็นลวดเชื่อมอาร์กอน TIG จากประเทศญี่ปุ่นที่ออกแบบมาสำหรับเชื่อมเหล็ก SKD61 โดยเฉพาะ ให้ความแข็งประมาณ 48-52 HRC
  • ลวดเชื่อม TIG TIC SKD61: มีจำหน่ายทั่วไป มักระบุความแข็งไว้ใกล้เคียงกับเหล็ก SKD61 เดิม
  • ลวดเชื่อมเลเซอร์ SKD61: มีจำหน่ายสำหรับงานซ่อมแซมที่ต้องการความแม่นยำสูง

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 738

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 738 เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้สำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะ โดยเฉพาะแม่พิมพ์ที่ต้องการความแข็งแรงสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมีความสามารถในการขัดเงาที่ดี

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 738:

  • ส่วนประกอบทางเคมี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม 738 จะมีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็กกล้าเครื่องมือประเภท P20 หรือ 3Cr2Mo ซึ่งเป็นเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงปานกลางถึงสูง มีความเหนียว และสามารถชุบแข็งได้
  • ความแข็ง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งอยู่ในช่วงประมาณ 48-52 HRC ซึ่งเป็นระดับความแข็งที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานแม่พิมพ์พลาสติกและแม่พิมพ์ฉีดขึ้นรูปโลหะที่ไม่ต้องการความแข็งสูงมากนัก แต่เน้นความเหนียวและความสามารถในการขัดเงา
  • ทนทานต่อการสึกหรอ: มีความทนทานต่อการสึกหรอในระดับที่ดี เหมาะสำหรับการใช้งานกับวัสดุหลากหลายชนิด
  • ความสามารถในการขัดเงาที่ดี: แนวเชื่อมที่ได้สามารถขัดเงาได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับส่วนประกอบของแม่พิมพ์ที่ต้องการผิวสำเร็จที่เรียบและเงางาม
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม 738 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: มีความเสี่ยงในการแตกร้าวน้อยกว่าลวดเชื่อมที่มีความแข็งสูงมาก

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม 738:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 738 เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด
  • เชื่อมโลหะแก๊สคลุม (GMAW หรือ MIG): สามารถใช้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะการซ่อมแซมบริเวณที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องควบคุมความร้อนให้ดี

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ 738:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมตามอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยลดความเค้นตกค้างและป้องกันการแตกร้าว โดยทั่วไปแล้ว อุณหภูมิจะไม่สูงเท่ากับการเชื่อมเหล็ก SKD11
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นลวดเชื่อม 738 แท้ และมีขนาดที่เหมาะสมกับงาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD11

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD11 เป็นลวดเชื่อมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการซ่อมแซมและบำรุงรักษาแม่พิมพ์ที่ทำจากเหล็กกล้าเครื่องมือ SKD11 ซึ่งเป็นเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และมีความสามารถในการรักษาคมตัดได้ดีเยี่ยม ทำให้เหมาะสำหรับแม่พิมพ์งานเย็น เช่น แม่พิมพ์ปั๊มโลหะ แม่พิมพ์ตัด และแม่พิมพ์ขึ้นรูป

คุณสมบัติหลักของลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD11:

  • ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม: มีส่วนประกอบทางเคมีที่ใกล้เคียงกับเหล็ก SKD11 เพื่อให้แนวเชื่อมมีความแข็งแรง ความแข็ง และคุณสมบัติทางกลอื่นๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานแม่พิมพ์
  • ความแข็งสูง: แนวเชื่อมที่ได้จะมีความแข็งใกล้เคียงหรือสูงกว่าเหล็ก SKD11 เดิม ทำให้ทนทานต่อการสึกหรอและการเสียรูป
  • ทนทานต่อการสึกหรอ: ออกแบบมาเพื่อทนทานต่อการเสียดสีและการสึกหรอที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานแม่พิมพ์
  • ความสามารถในการเชื่อมที่ดี: โดยทั่วไปแล้ว ลวดเชื่อม SKD11 จะถูกออกแบบมาให้เชื่อมได้ง่าย และให้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพดี
  • ลดความเสี่ยงการแตกร้าว: ลวดเชื่อมคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในแนวเชื่อมและบริเวณใกล้เคียง

กระบวนการเชื่อมที่นิยมใช้กับลวดเชื่อม SKD11:

  • เชื่อมอาร์กอนทังสเตน (GTAW หรือ TIG): เป็นกระบวนการที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ เนื่องจากให้ความแม่นยำสูง ควบคุมความร้อนได้ดี และให้แนวเชื่อมที่สะอาด
  • เชื่อมเลเซอร์ (Laser Welding): เป็นอีกกระบวนการที่ให้ความแม่นยำสูงและมีบริเวณที่ได้รับความร้อนแคบ ทำให้เหมาะสำหรับการซ่อมแซมชิ้นส่วนขนาดเล็กและบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง

ข้อควรระวังในการเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD11:

  • การเตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดบริเวณที่จะเชื่อมให้ปราศจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และออกไซด์
  • การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Preheating and Post-welding Heat Treatment): เหล็ก SKD11 เป็นเหล็กที่มีความแข็งสูงและมีแนวโน้มที่จะเกิดการแตกร้าวได้ง่าย การให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อมตามอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อลดความเค้นตกค้างและป้องกันการแตกร้าว
  • การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม: เลือกลวดเชื่อมที่มีส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับเหล็ก SKD11 และลักษณะการใช้งาน
  • การควบคุมความร้อนในการเชื่อม: ควบคุมความร้อนที่ใส่เข้าไปในชิ้นงานให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคที่ไม่พึงประสงค์และการบิดเบี้ยวของชิ้นงาน
  • การเชื่อมหลายแนว (Multi-pass Welding): ในกรณีที่ต้องเติมเนื้อโลหะจำนวนมาก การเชื่อมหลายแนวโดยควบคุมอุณหภูมิระหว่างแนวเชื่อม (Interpass Temperature) จะช่วยลดความเสี่ยงของการแตกร้าว

ตัวอย่างยี่ห้อหรือประเภทของลวดเชื่อม SKD11 ที่มีจำหน่าย:

  • NICHIA BKD-11R: เป็นลวดเชื่อมอาร์กอน TIG จากประเทศญี่ปุ่นที่ออกแบบมาสำหรับเชื่อมเหล็ก SKD11 โดยเฉพาะ ให้ความแข็งประมาณ 58-62 HRC
  • ลวดเชื่อม TIG TIC SKD11: มีจำหน่ายทั่วไป มักระบุความแข็งไว้ที่ 56-58 HRC
  • ลวดเชื่อมเลเซอร์ SKD11: มีจำหน่ายสำหรับงานซ่อมแซมที่ต้องการความแม่นยำสูง

สรุป:

ลวดเชื่อมซ่อมแซมแม่พิมพ์ SKD11 เป็นวัสดุสำคัญสำหรับการบำรุงรักษาและยืดอายุการใช้งานของแม่พิมพ์ที่ทำจากเหล็กกล้า SKD11 การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสมและปฏิบัติตามขั้นตอนการเชื่อมที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดี

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลวดเชื่อม SKD11 ยี่ห้อใดโดยเฉพาะ หรือต้องการทราบแหล่งจำหน่ายในประเทศไทย คุณสามารถระบุความต้องการของคุณเพิ่มเติมได้ครับ