AWS A5.20 : E71T-11 แตกต่างจาก AWS A5.36 : E71T-11 ยังไง

AWS A5.20 : E71T-11

AWS A5.20 : E71T-11 คือมาตรฐานของลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ (Flux Cored) ชนิด Gas-Shielded ที่ใช้สำหรับเชื่อมเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ โดยกำหนดโดย American Welding Society (AWS)

ความหมายของ E71T-11:

  • E: ย่อมาจาก Electrode หมายถึง ลวดเชื่อม
  • 71: หมายถึง ค่าความต้านทานแรงดึงขั้นต่ำ 71,000 psi (ประมาณ 490 MPa)
  • T: หมายถึง ลวดเชื่อมชนิด Tubular หรือ Flux Cored คือมีฟลักซ์อยู่ภายในแกนลวด
  • 1: หมายถึง สามารถใช้งานได้ทุกท่าเชื่อม (all position)
  • 1: หมายถึง ใช้กับกระแสไฟฟ้าแบบ DCEP (Direct Current Electrode Positive)

AWS A5.36 : E71T-11

AWS A5.36 : E71T-11 เป็นมาตรฐานของลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ (Flux Cored) ชนิด Gas-Shielded ที่ใช้สำหรับเชื่อมเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งถูกกำหนดโดย American Welding Society (AWS) มาตรฐาน A5.36 เป็นมาตรฐานที่ใหม่กว่า A5.20 (เริ่มใช้ในปี 2015) ซึ่งรวมมาตรฐาน A5.20 และ A5.29 (ลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ชนิด Self-Shielded) เข้าด้วยกัน และใช้ระบบการจำแนกประเภทแบบเปิด ทำให้สามารถเพิ่มประเภทของลวดเชื่อมได้มากขึ้นในอนาคต

ความหมายของ E71T-11:

  • E: ย่อมาจาก Electrode หมายถึง ลวดเชื่อม
  • 71: หมายถึง ค่าความต้านทานแรงดึงขั้นต่ำ 71,000 psi (ประมาณ 490 MPa)
  • T: หมายถึง ลวดเชื่อมชนิด Tubular หรือ Flux Cored คือมีฟลักซ์อยู่ภายในแกนลวด
  • 1: หมายถึง สามารถใช้งานได้ทุกท่าเชื่อม (all position)
  • 1: หมายถึง ใช้กับกระแสไฟฟ้าแบบ DCEP (Direct Current Electrode Positive)

AWS A5.20 : E71T-11 ความแตกต่างกับ AWS A5.36 : E71T-11

ถึงแม้ว่า AWS A5.20 : E71T-11 และ AWS A5.36 : E71T-11 จะดูเหมือนกันมาก แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งเกิดจากการพัฒนามาตรฐานให้ทันสมัยและครอบคลุมมากขึ้น

AWS A5.20 เป็นมาตรฐานเดิมที่ใช้กันมานาน ครอบคลุมลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ชนิด Gas-Shielded ส่วน AWS A5.36 เป็นมาตรฐานใหม่กว่า (เริ่มใช้ในปี 2015) ซึ่งรวมมาตรฐาน A5.20 และ A5.29 (ลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ชนิด Self-Shielded) เข้าด้วยกัน และใช้ระบบการจำแนกประเภทแบบเปิด ทำให้สามารถเพิ่มประเภทของลวดเชื่อมได้มากขึ้นในอนาคต

ความแตกต่างที่สำคัญ:

  • ระบบการจำแนกประเภท: A5.36 ใช้ระบบการจำแนกประเภทแบบเปิด ทำให้สามารถระบุคุณสมบัติเฉพาะของลวดเชื่อมได้ละเอียดกว่า เช่น องค์ประกอบทางเคมี สมบัติทางกล และการใช้งาน
  • การทดสอบ: A5.36 กำหนดวิธีการทดสอบที่เข้มงวดกว่า เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความสม่ำเสมอของลวดเชื่อม
  • ข้อมูลเพิ่มเติม: A5.36 มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลวดเชื่อม เช่น คำแนะนำในการใช้งาน ข้อควรระวัง และข้อมูลด้านความปลอดภัย

ในกรณีของ E71T-11:

  • A5.20 : E71T-11 เป็นลวดเชื่อมฟลักซ์คอร์ชนิด Gas-Shielded ทั่วไป ที่ใช้สำหรับเชื่อมเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ
  • A5.36 : E71T-11 อาจมีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น มีส่วนผสมของธาตุอื่นๆ เพื่อเพิ่มสมบัติเฉพาะ เช่น ความต้านทานการกัดกร่อน หรือความสามารถในการเชื่อมที่อุณหภูมิต่ำ

สรุป

  • A5.36 เป็นมาตรฐานที่ทันสมัยและครอบคลุมกว่า A5.20
  • ลวดเชื่อม A5.36 : E71T-11 อาจมีคุณสมบัติและการใช้งานที่หลากหลายกว่า A5.20 : E71T-11
  • ควรตรวจสอบข้อมูลจำเพาะของลวดเชื่อมจากผู้ผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความต้องการใช้งาน

Happy Tool ได้เป็นร้านแนะนำของ Shopee แล้วครับผม

Happy Tool เป็นร้านแนะนำบน shopee แล้วครับ

ได้เป็นร้านแนะนำของ Shopee แล้วครับ

พยายามตั้งใจทำงานกันมากเลย จนำได้ยอด แล้วก็ผ่านเงื่อนไขทุกข้อแล้ว

ยังไง จะพยายามต่อไปแล้วก็ฝากอุดหนุนด้วยนะครับ

https://shopee.co.th/shop/1325541198 Happy Tool

Lazada Double Day 10.10 2567

ดูสินค้าราคา คลิกที่นี่

10.10 นี้ ไม่หยุดช้อป ลดแรงเต็มสิบไม่หัก

พบกับ Crazy Flash Sale ลดแรงสูงสุด 90%*

จัดเต็มไปให้จุกๆ 10 รอบตลอดวัน! 🤩🎉

และอย่าลืมเก็บลาซาด้าโบนัสไว้ลดหลายต่อ 🎁 โบนัส 30.-*

เมื่อช้อปครบทุกๆ 400.- 🚚 พร้อมเก็บคูปองส่งฟรีทั่วไทย*

ใกล้ไกลแค่ไหนก็ส่งฟรี! 💕

ยิ่งช้อป ยิ่งลดนะจ๊ะ ช้อปพร้อมกัน 10 ต.ค. นี้

วันเดียวเท่านั้น!

CGA580 R.H. คืออะไร

JW Argon Regulator เกจ์อาร์กอน ARF-25C

CGA 580 R.H. หมายถึง ข้อกำหนดของการเชื่อมต่อถังแก๊ส โดยเป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย Compressed Gas Association (CGA) ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมแก๊สอัด

มาดูความหมายของแต่ละส่วนกัน

  • CGA: ย่อมาจาก Compressed Gas Association เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมแก๊สอัด รวมถึงข้อกำหนดของการเชื่อมต่อถังแก๊ส
  • 580: เป็นหมายเลขที่ CGA กำหนดให้กับมาตรฐานการเชื่อมต่อชนิดนี้ โดยเฉพาะสำหรับแก๊สที่ไม่ติดไฟ เช่น อาร์กอน ไนโตรเจน ฮีเลียม
  • R.H.: ย่อมาจาก Right Hand หมายถึง เกลียวของข้อต่อเป็นเกลียวขวา ซึ่งเป็นแบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป

ลักษณะเฉพาะของ CGA 580 R.H.

  • เป็นข้อต่อแบบเกลียวภายนอก สำหรับเชื่อมต่อกับวาล์วของถังแก๊ส
  • ขนาดเกลียว 0.965 นิ้ว 14 เกลียวต่อนิ้ว
  • เกลียวเป็นแบบเกลียวขวา (Right Hand)
  • มักใช้กับแก๊สที่ไม่ติดไฟ เช่น อาร์กอน ไนโตรเจน ฮีเลียม

ประโยชน์ของการมีมาตรฐาน CGA

  • ความปลอดภัย: ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างถังแก๊สและอุปกรณ์ต่างๆ มีความปลอดภัย ป้องกันการรั่วไหลของแก๊ส และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • ความเข้ากันได้: ช่วยให้สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ กับถังแก๊สได้อย่างถูกต้อง แม้จะมาจากผู้ผลิตที่แตกต่างกัน
  • ลดความสับสน: ช่วยลดความสับสนในการเลือกใช้อุปกรณ์ เนื่องจากมีมาตรฐานที่ชัดเจน

ถ้าเราเขียนว่า CGA580 เฉยๆ ไม่มี R.H. ได้ไหม

โดยทั่วไปแล้ว การเขียนแค่ “CGA580” โดยไม่มี “R.H.” สามารถทำได้ และมักจะเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงเกลียวขวา เพราะเกลียวขวาเป็นแบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป

อย่างไรก็ตาม การระบุ “R.H.” ไว้ด้วย จะช่วยเพิ่มความชัดเจน และป้องกันความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในกรณีที่

  • ต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง เช่น ในเอกสารทางเทคนิค หรือคู่มือการใช้งาน
  • สื่อสารกับผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับมาตรฐาน CGA
  • ต้องการสั่งซื้ออุปกรณ์ หรืออะไหล่ การระบุ “R.H.” ช่วยให้มั่นใจว่าจะได้สินค้าที่ถูกต้อง

นอกจาก R.H. แล้วมีอะไรอย่างอื่นอีกมี L.H. ไหม?

นอกจาก R.H. (Right Hand – เกลียวขวา) ซึ่งเป็นแบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปแล้ว ยังมี L.H. (Left Hand – เกลียวซ้าย) แต่พบได้น้อยกว่ามากมี

โดยทั่วไปแล้ว เกลียวซ้าย (L.H.) มักจะใช้กับแก๊สบางชนิด เช่น

  • อะเซทิลีน: เพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาดกับอุปกรณ์ที่ใช้กับแก๊สชนิดอื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ไฮโดรเจน: ในบางกรณี เพื่อป้องกันการสับสนกับแก๊สอื่นๆ

ดังนั้น เมื่อเห็นข้อกำหนด CGA580 L.H. หมายความว่า ข้อต่อนั้นเป็นเกลียวซ้าย และมักจะใช้กับแก๊สอะเซทิลีน หรือไฮโดรเจน

นอกจาก R.H. และ L.H. แล้ว ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่อาจระบุเพิ่มเติมในข้อกำหนด เช่น

  • ขนาดเกลียว: เช่น 0.965 นิ้ว 14 เกลียวต่อนิ้ว
  • ประเภทของแก๊ส: เช่น อาร์กอน ไนโตรเจน ฮีเลียม
  • มาตรฐานอื่นๆ: เช่น มาตรฐานของประเทศ หรือองค์กรอื่นๆ

สรุป CGA 580 R.H. เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อถังแก๊สที่สำคัญ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งานแก๊สอัด

White Zinc vs Yellow Zinc vs Black Zinc

White Zinc

การชุบ White Zinc การชุบ White Zinc หรือการชุบสังกะสีสีขาว เป็นหนึ่งในวิธีการชุบสังกะสีแบบไฟฟ้า (Electrogalvanizing) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติป้องกันสนิมที่ดีเยี่ยม และให้ผิวเคลือบสีขาวเงินที่สวยงามคล้ายโครเมียม แต่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า

กระบวนการชุบ White Zinc

โดยทั่วไป กระบวนการชุบสังกะสีสีขาวมีขั้นตอนคล้ายกับการชุบสังกะสีแบบอื่นๆ คือ

  1. การเตรียมผิว: ทำความสะอาดชิ้นงานเหล็ก กำจัดคราบไขมัน สนิม และสิ่งสกปรกต่างๆ เพื่อให้ผิวงานสะอาด
  2. การชุบ: นำชิ้นงานไปจุ่มในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่มีส่วนผสมของสังกะสี แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่าน ทำให้สังกะสีเกาะตัวบนผิวเหล็กเป็นชั้นบางๆ
  3. Passivation: หลังการชุบ ชิ้นงานจะถูกผ่านกระบวนการ Passivation เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน โดยการเคลือบผิวด้วยสารเคมี เช่น โครเมต
  4. การอบแห้ง: อบชิ้นงานให้แห้งสนิท

ข้อดีของการชุบ White Zinc

  • ป้องกันสนิมได้ดี: สังกะสีทำหน้าที่เป็นโลหะกันกร่อนแบบบูชายัญ (Sacrificial Anode) คือจะเสียสละตัวเองก่อนเหล็ก ทำให้เหล็กไม่เป็นสนิม
  • สวยงาม: ให้ผิวเคลือบสีขาวเงินที่สวยงาม คล้ายโครเมียม
  • ต้นทุนต่ำ: เมื่อเทียบกับการชุบโครเมียม
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ปราศจากสารโครเมียมเฮกซะวาเลนท์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

การใช้งาน

การชุบ White Zinc นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น

  • ชิ้นส่วนยานยนต์
  • อุปกรณ์ก่อสร้าง
  • เฟอร์นิเจอร์
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า
  • ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

Yellow Zinc

การชุบ Yellow Zinc หรือที่บางครั้งเรียกว่า Zinc Chromate หรือ Gold Zinc เป็นกระบวนการชุบสังกะสีแบบไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่ง ที่ให้ผิวเคลือบสีเหลืองทอง มีคุณสมบัติป้องกันการกัดกร่อนได้ดี มักใช้เป็นขั้นตอนเตรียมผิวสำหรับการพ่นสี หรือใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับงานที่ต้องการความสวยงามและป้องกันสนิมในระดับหนึ่ง

กระบวนการชุบ Yellow Zinc

ขั้นตอนการชุบ Yellow Zinc คล้ายกับการชุบ White Zinc แต่จะแตกต่างกันที่องค์ประกอบของสารละลายอิเล็กโทรไลต์และกระบวนการ Passivation ซึ่งจะใช้สารเคมีที่มีโครเมต ทำให้เกิดชั้นเคลือบสีเหลืองทอง

ข้อดีของการชุบ Yellow Zinc

  • ป้องกันสนิม: แม้ประสิทธิภาพการป้องกันสนิมจะน้อยกว่าการชุบ Hot-dip Galvanizing หรือการชุบ White Zinc แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่รุนแรงมากนัก
  • เตรียมผิวสำหรับการพ่นสี: ชั้นเคลือบ Yellow Zinc ช่วยเพิ่มการยึดเกาะของสี ทำให้สีติดทนนานยิ่งขึ้น
  • สวยงาม: ให้ผิวเคลือบสีเหลืองทองที่สวยงาม
  • ต้นทุนต่ำ: เมื่อเทียบกับการชุบโครเมียม หรือการชุบโลหะมีค่าอื่นๆ

การใช้งาน

การชุบ Yellow Zinc มักใช้ใน

  • ชิ้นส่วนยานยนต์
  • อุปกรณ์เครื่องจักรกล
  • อุปกรณ์ก่อสร้าง
  • เฟอร์นิเจอร์
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า

Black Zinc

Black Zinc เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการชุบสังกะสี โดยให้ผิวเคลือบสีดำ มีคุณสมบัติในการป้องกันการกัดกร่อน และยังเพิ่มความสวยงามให้กับชิ้นงานอีกด้วย

รูปจาก https://www.gattoplaters.com/black-zinc-nickel-plating.html

กระบวนการชุบ Black Zinc

การชุบ Black Zinc ก็เป็นการชุบสังกะสีแบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน แต่จะใช้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และกระบวนการ Passivation ที่แตกต่างออกไป เพื่อให้ได้ชั้นเคลือบสีดำ โดยทั่วไป จะมีการเติมสารประกอบอื่นๆ เช่น นิกเกิล โคบอลต์ หรือเหล็ก ลงในสารละลาย เพื่อควบคุมสีและคุณสมบัติของชั้นเคลือบ

ข้อดีของการชุบ Black Zinc

  • ป้องกันสนิม: แม้ประสิทธิภาพการป้องกันสนิมจะไม่สูงเท่า White Zinc แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในร่ม หรือในสภาพแวดล้อมที่ไม่รุนแรงมากนัก
  • ลดแสงสะท้อน: ผิวสีดำด้านช่วยลดการสะท้อนแสง เหมาะสำหรับชิ้นส่วนที่ต้องการลดแสงสะท้อน เช่น อุปกรณ์ถ่ายภาพ อุปกรณ์ทางการทหาร
  • สวยงาม: ผิวเคลือบสีดำ ให้ความรู้สึกหรูหรา ทันสมัย
  • ต้นทุนต่ำ: เมื่อเทียบกับการชุบโลหะมีค่าอื่นๆ

การใช้งาน

การชุบ Black Zinc นิยมใช้ใน

  • ชิ้นส่วนยานยนต์
  • อุปกรณ์ตกแต่ง
  • เฟอร์นิเจอร์
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • อุปกรณ์เครื่องจักรกล

กระบวนการ Passivation คืออะไร

Passivation คือกระบวนการทางเคมีที่สร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ บนผิวโลหะ เพื่อเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน ป้องกันสนิม และเพิ่มความทนทานต่อการสึกหรอ โดยทั่วไปจะใช้กับโลหะที่เป็น Stainless Steel, อลูมิเนียม และสังกะสี

หลักการทำงาน

Passivation ทำงานโดยการกำจัดสิ่งเจือปน เช่น เหล็กอิสระ ออกจากผิวโลหะ และสร้างชั้นฟิล์มป้องกัน ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นชั้นออกไซด์ของโลหะนั้นๆ เช่น โครเมียมออกไซด์บน Stainless Steel หรือ อลูมิเนียมออกไซด์บนอลูมิเนียม ชั้นฟิล์มนี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ป้องกันไม่ให้โลหะสัมผัสกับอากาศและความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสนิม

ขั้นตอนการทำ Passivation

  1. การทำความสะอาด: ทำความสะอาดผิวโลหะ กำจัดคราบไขมัน สนิม และสิ่งสกปรกต่างๆ
  2. การ Passivation: นำโลหะไปแช่ในสารละลาย เช่น กรดไนตริก กรดซิตริก หรือสารละลายโครเมต ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะ
  3. การล้าง: ล้างโลหะด้วยน้ำสะอาด เพื่อกำจัดสารละลาย
  4. การอบแห้ง: อบโลหะให้แห้งสนิท

ประโยชน์ของ Passivation

  • เพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน: ชั้นฟิล์มป้องกันช่วยป้องกันโลหะจากการเกิดสนิม และการกัดกร่อนจากสารเคมี
  • เพิ่มความทนทานต่อการสึกหรอ: ชั้นฟิล์มป้องกันช่วยเพิ่มความแข็ง และความทนทานต่อการสึกหรอ
  • ยืดอายุการใช้งาน: ช่วยยืดอายุการใช้งานของโลหะ
  • ปรับปรุงความสวยงาม: ทำให้ผิวโลหะดูสะอาด และเงางาม

การใช้งาน

Passivation ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น

  • อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม
  • อุตสาหกรรมยา และเวชภัณฑ์
  • อุตสาหกรรมเคมี
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  • อุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Passivation Stainless Steel ในอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน และการกัดกร่อน
  • Passivation อลูมิเนียม ในชิ้นส่วนเครื่องบิน เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน และการสึกหรอ

White Zinc,Yellow Zinc, Black Zinc เราควรเลือกอะไรดี?

White Zinc, Yellow Zinc และ Black Zinc ล้วนเป็นการชุบสังกะสีแบบไฟฟ้า (Electrogalvanizing) แต่มีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. สี

  • White Zinc: สีขาวเงิน คล้ายโครเมียม
  • Yellow Zinc: สีเหลืองทอง คล้ายทองเหลือง
  • Black Zinc: สีดำ อาจมีเฉดสีแตกต่างกันไป เช่น ดำด้าน ดำเงา

2. องค์ประกอบของสารละลายอิเล็กโทรไลต์และกระบวนการ Passivation

  • แต่ละแบบใช้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และกระบวนการ Passivation ที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้สีและคุณสมบัติตามที่ต้องการ
  • White Zinc มักใช้สารประกอบโครเมียม เช่น โครเมียมไตรออกไซด์ ในกระบวนการ Passivation
  • Yellow Zinc ใช้สารประกอบโครเมต ทำให้เกิดชั้นเคลือบสีเหลืองทอง
  • Black Zinc อาจมีการเติมสารประกอบอื่นๆ เช่น นิกเกิล โคบอลต์ หรือเหล็ก ลงในสารละลาย เพื่อควบคุมสีและคุณสมบัติของชั้นเคลือบ

3. คุณสมบัติ

  • ความทนทานต่อการกัดกร่อน: White Zinc มีความทนทานต่อการกัดกร่อนสูงสุด รองลงมาคือ Yellow Zinc และ Black Zinc
  • การยึดเกาะของสี: Yellow Zinc เหมาะสำหรับใช้เป็นชั้นรองพื้นก่อนการพ่นสี เนื่องจากช่วยเพิ่มการยึดเกาะของสี
  • ความสวยงาม: ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แต่ละแบบให้สีสันและความสวยงามที่แตกต่างกัน

4. การใช้งาน

  • White Zinc: นิยมใช้ในงานที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อนสูง เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ก่อสร้าง
  • Yellow Zinc: มักใช้เป็นชั้นรองพื้นก่อนการพ่นสี หรือใช้กับงานที่ต้องการความสวยงามและป้องกันสนิมในระดับหนึ่ง
  • Black Zinc: นิยมใช้ในงานตกแต่ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือชิ้นส่วนที่ต้องการลดแสงสะท้อน

ถ้าในเรื่องของการทนสนิม แบบใหนดีกว่ากัน?

ถ้าพูดถึงเรื่องความทนทานต่อสนิมในการชุบสังกะสี โดยทั่วไปแล้ว White Zinc จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด รองลงมาคือ Yellow Zinc และ Black Zinc ตามลำดับ

เหตุผล

  • White Zinc: ชั้นเคลือบ Passivation ของ White Zinc มักมีโครเมียมออกไซด์ หรือสารประกอบโครเมียมอื่นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนได้ดีกว่า ทำให้ทนต่อสนิมได้ดีกว่าแบบอื่นๆ
  • Yellow Zinc: ชั้นเคลือบ Passivation ของ Yellow Zinc มีโครเมตเป็นส่วนประกอบ ซึ่งก็ช่วยป้องกันสนิมได้ในระดับหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพน้อยกว่า White Zinc
  • Black Zinc: ชั้นเคลือบ Black Zinc มักไม่มีโครเมียม หรือมีโครเมียมในปริมาณน้อย ทำให้ความทนทานต่อสนิมน้อยกว่า White Zinc และ Yellow Zinc

ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความทนทานต่อสนิม

  • ความหนาของชั้นเคลือบสังกะสี: ยิ่งชั้นเคลือบหนา ยิ่งทนทานต่อสนิมมากขึ้น
  • สภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรือมีสารเคมีกัดกร่อน จะทำให้เกิดสนิมได้ง่ายกว่า
  • การดูแลรักษา: การทำความสะอาด และการดูแลรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยยืดอายุการใช้งาน และป้องกันการเกิดสนิม

สรุป

ถ้าต้องการการป้องกันสนิมที่ดีที่สุด ควรเลือก White Zinc แต่ถ้าต้องการความสวยงาม หรือใช้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รุนแรงมากนัก Yellow Zinc และ Black Zinc ก็เป็นทางเลือกที่ดี