ลวดเชื่อม AWS A 5.15 : ENiFe-CI

AWS A 5.15 : ENiFe-CI คืออะไร?

  • AWS A 5.15 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้มที่ใช้สำหรับเชื่อมเหล็กหล่อ (Cast Iron) และโลหะผสมนิกเกิล-เหล็ก
  • ENiFe-CI เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.15 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัว “Ni” หมายถึง นิกเกิล (Nickel) และ “Fe” หมายถึง เหล็ก (Iron) ส่วน “CI” หมายถึง Cast Iron (เหล็กหล่อ)

คุณสมบัติของลวดเชื่อม ENiFe-CI

  • เป็นลวดเชื่อมชนิดโลหะผสมนิกเกิล-เหล็ก ที่มีนิกเกิลเป็นส่วนประกอบหลัก (โดยทั่วไปประมาณ 55%)
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กหล่อชนิดต่างๆ เช่น เหล็กหล่อเทา (Gray cast iron), เหล็กหล่อเหนียว (Ductile cast iron), และเหล็กหล่อ Temper
  • สามารถใช้เชื่อมต่อเหล็กหล่อกับเหล็กหล่อ, เหล็กหล่อกับเหล็กกล้าคาร์บอน, และเหล็กหล่อกับโลหะที่ไม่ใช่เหล็กบางชนิด
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีความเหนียวดี ทนต่อการแตกร้าว และสามารถตัดเฉือนได้ (machinable)
  • เหมาะสำหรับงานซ่อมแซมและเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหล่อ เช่น บล็อกเครื่องยนต์, ฝาสูบ, ชิ้นส่วนเครื่องจักร, และโครงต่างๆ

การใช้งานทั่วไปของ ENiFe-CI

  • งานซ่อมแซมรอยแตกและรอยร้าวในชิ้นส่วนเหล็กหล่อ
  • งานเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหล่อที่แตกหัก
  • งานเชื่อมต่อเหล็กหล่อกับเหล็กกล้าคาร์บอน
  • งานเชื่อมต่อเหล็กหล่อกับโลหะที่ไม่ใช่เหล็กบางชนิด

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม ENiFe-CI มักจะต้องมีการอุ่นชิ้นงานก่อนเชื่อม (preheat) และควบคุมอุณหภูมิระหว่างการเชื่อม เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกร้าว
  • การเชื่อมควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญและมีความรู้เกี่ยวกับการเชื่อมเหล็กหล่อ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม

สรุป

AWS A 5.15 : ENiFe-CI เป็นลวดเชื่อมที่เหมาะสำหรับงานเชื่อมและซ่อมแซมเหล็กหล่อ มีคุณสมบัติที่ให้ตะเข็บเชื่อมมีความเหนียว ทนต่อการแตกร้าว และสามารถตัดเฉือนได้

ลวดเชื่อม DIN 8555 : E 3-UM-600

DIN 8555 : E 3-UM-600 คืออะไร?

  • DIN 8555 เป็นมาตรฐานเยอรมันที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมผิวแข็ง (hardfacing) ซึ่งเป็นกระบวนการเชื่อมที่เพิ่มชั้นของโลหะผสมที่มีความแข็งและทนต่อการสึกหรอบนพื้นผิวของชิ้นงาน เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานและความทนทานต่อการสึกหรอ การกัดกร่อน หรือแรงกระแทก
  • E 3-UM-600 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน DIN 8555 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E 3-UM-600

  • เป็นลวดเชื่อมชนิดฟลักซ์หุ้มหนา (Thick coated electrode)
  • ให้ค่าความแข็งของโลหะเชื่อมอยู่ที่ประมาณ 600 HB (Brinell Hardness Number) ซึ่งถือว่ามีความแข็งสูงมาก
  • มีส่วนผสมหลักเป็นโครเมียมคาร์ไบด์ (Chromium carbide) ซึ่งให้ความทนทานต่อการสึกหรอจากการขัดสี (abrasion) และแรงกระแทก (impact) ได้ดีเยี่ยม
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมผิวแข็งบนชิ้นงานที่ต้องรับแรงกระแทกสูงและการสึกหรอจากการเสียดสีของโลหะกับโลหะ รวมถึงการสึกหรอจากการเสียดสีกับวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ (เช่น ดิน หิน ทราย)
  • สามารถเชื่อมได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นแนวตั้งลง (vertical-down)
  • โลหะเชื่อมมีความต้านทานต่อการแตกร้าวสูง และไม่มีรูพรุน

การใช้งานทั่วไปของลวดเชื่อม E 3-UM-600

  • งานเชื่อมผิวแข็งบนชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงกระแทกและการสึกหรอสูง เช่น
    • ฟันของรถขุด
    • ใบมีดของรถตัก
    • กรวยบด
    • ค้อนทุบ
    • ชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการก่อสร้าง
    • ชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

  • ควรใช้กระแสตรงชนิดขั้วบวก (DC+) ในการเชื่อม
  • อาจจำเป็นต้องมีการอุ่นชิ้นงานก่อนเชื่อม (preheating) และการอบชิ้นงานหลังเชื่อม (post-weld heat treatment) เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกร้าว และปรับปรุงคุณสมบัติเชิงกลของโลหะเชื่อม
  • เนื่องจากมีความแข็งสูงมาก การตัดเฉือน (machining) โลหะเชื่อมอาจทำได้ยาก

สรุป

DIN 8555 : E 3-UM-600 เป็นลวดเชื่อมผิวแข็งที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งสูงมาก และทนทานต่อการสึกหรอจากการขัดสีและแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม มักใช้ในอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ การก่อสร้าง และการผลิตปูนซีเมนต์

ลวดเชื่อม DIN 8555 :E 1-UM-250

DIN 8555 : E 1-UM-250 คืออะไร?

  • DIN 8555 เป็นมาตรฐานเยอรมันที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมผิวแข็ง (hardfacing) ซึ่งเป็นกระบวนการเชื่อมที่เพิ่มชั้นของโลหะผสมที่มีความแข็งและทนต่อการสึกหรอบนพื้นผิวของชิ้นงาน เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานและความทนทานต่อการสึกหรอ การกัดกร่อน หรือแรงกระแทก
  • E 1-UM-250 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน DIN 8555 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E 1-UM-250

  • เป็นลวดเชื่อมชนิดฟลักซ์หุ้มหนา (Thick coated electrode)
  • ให้ค่าความแข็งของโลหะเชื่อมอยู่ที่ประมาณ 250 HB (Brinell Hardness Number) ซึ่งถือว่ามีความแข็งปานกลาง
  • สามารถตัดเฉือน (machinable) ได้ด้วยการกลึง
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมผิวแข็ง (build-up, buffer, and hardfacing) บนชิ้นงานที่ต้องรับแรงกระแทกสูงและการสึกหรอจากการเสียดสีของโลหะกับโลหะ
  • สามารถเชื่อมได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นแนวตั้งลง (vertical-down)
  • โลหะเชื่อมมีความต้านทานต่อการแตกร้าวสูง และไม่มีรูพรุน

การใช้งานทั่วไปของลวดเชื่อม E 1-UM-250

  • งานเชื่อมผิวแข็งบนชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงกระแทกและการสึกหรอจากการเสียดสีของโลหะกับโลหะ เช่น
    • ฟันของรถขุด
    • ใบมีดของรถตัก
    • ลูกกลิ้ง
    • เครื่องมือตัด
    • ชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการก่อสร้าง

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

  • ควรใช้กระแสตรงชนิดขั้วบวก (DC+) ในการเชื่อม
  • อาจจำเป็นต้องมีการอุ่นชิ้นงานก่อนเชื่อม (preheating) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชิ้นงานที่มีความหนามาก เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกร้าว

สรุป

DIN 8555 : E 1-UM-250 เป็นลวดเชื่อมผิวแข็งที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งปานกลางและสามารถตัดเฉือนได้ มีความต้านทานต่อการแตกร้าวสูง และสามารถเชื่อมได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นแนวตั้งลง

ลวดเชื่อม AWS A 5.5 : E9016-B3

AWS A 5.5 : E9016-B3 คืออะไร?

  • AWS A 5.5 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้มฟลักซ์ (Flux-cored arc welding) ที่ใช้สำหรับเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง และเหล็กทนความร้อน
  • E9016-B3 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.5 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัว “B3” หมายถึง ลวดเชื่อมชนิดนี้มีส่วนผสมของโครเมียม (Chromium) และโมลิบดีนัม (Molybdenum) ในปริมาณที่กำหนด

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E9016-B3

  • เป็นลวดเชื่อมชนิด Low-hydrogen ที่มีฟลักซ์หุ้ม (Iron powder, low-hydrogen electrode) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อม
  • มีส่วนผสมของโครเมียมและโมลิบดีนัม (โดยทั่วไปประมาณ 2.25% Cr และ 1% Mo) ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนต่อการคืบ (Creep resistance) และทนต่อการกัดกร่อนที่อุณหภูมิสูง
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กกล้าทนความร้อนประเภท Pearlitic (เช่น เหล็กกล้าโครเมียม-โมลิบดีนัม) ที่ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิสูง (โดยทั่วไปสูงถึง 595°C หรือ 1100°F)
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีคุณภาพสูง ความแข็งแรงดี ทนต่อแรงกระแทก และมีความเหนียวดีที่อุณหภูมิสูง
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือสูงในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่น ท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง, หม้อไอน้ำ, และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้า

การใช้งานทั่วไปของ E9016-B3

  • งานเชื่อมท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง
  • งานเชื่อมหม้อไอน้ำ
  • งานเชื่อมอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้าที่ต้องทนความร้อนและแรงดันสูง
  • งานเชื่อมเหล็กทนความร้อนประเภท Pearlitic ที่มีส่วนผสมของโครเมียม-โมลิบดีนัม
  • งานเชื่อมซ่อมบำรุงในสภาวะอุณหภูมิสูง

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E9016-B3 ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • ควรเก็บลวดเชื่อมในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อม และอาจทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อมได้
  • ควรปฏิบัติตามขั้นตอนการเชื่อมและการอบชิ้นงานหลังเชื่อมที่เหมาะสม เพื่อให้ได้คุณสมบัติเชิงกลที่ดีที่สุด

สรุป

AWS A 5.5 : E9016-B3 เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษในการทนต่ออุณหภูมิสูงและเหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กทนความร้อน เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง

ลวดเชื่อม AWS A 5.5 : E8016-B2

AWS A 5.5 : E8016-B2 คืออะไร?

  • AWS A 5.5 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้มฟลักซ์ (Flux-cored arc welding) ที่ใช้สำหรับเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง และเหล็กทนความร้อน
  • E8016-B2 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.5 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัว “B2” หมายถึง ลวดเชื่อมชนิดนี้มีส่วนผสมของโครเมียม (Chromium) และโมลิบดีนัม (Molybdenum)

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E8016-B2

  • เป็นลวดเชื่อมชนิด Low-hydrogen ที่มีฟลักซ์หุ้ม (Iron powder, low-hydrogen electrode) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อม
  • มีส่วนผสมของโครเมียมและโมลิบดีนัม ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนต่อการคืบ (Creep resistance) และทนต่อการกัดกร่อนที่อุณหภูมิสูง
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง (high tensile strength steel) ที่ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิสูง และเหล็กทนความร้อนประเภท Pearlitic ที่มีส่วนผสมของโครเมียม-โมลิบดีนัม
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีคุณภาพสูง ความแข็งแรงดี ทนต่อแรงกระแทก และมีความเหนียวดีที่อุณหภูมิสูง
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือสูงในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่น ท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง, หม้อไอน้ำ, และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

การใช้งานทั่วไปของ E8016-B2

  • งานเชื่อมท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง
  • งานเชื่อมหม้อไอน้ำ
  • งานเชื่อมอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ต้องทนความร้อนและแรงดันสูง
  • งานเชื่อมเหล็กทนความร้อนประเภท Pearlitic ที่มีส่วนผสมของโครเมียม-โมลิบดีนัม
  • งานเชื่อมซ่อมบำรุงในสภาวะอุณหภูมิสูง

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E8016-B2 ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • ควรเก็บลวดเชื่อมในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อม และอาจทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อมได้

สรุป

AWS A 5.5 : E8016-B2 เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษในการทนต่ออุณหภูมิสูงและเหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กทนความร้อน เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง

ทนต่อการคืบ (Creep resistance) คืออะไร

ทนต่อการคืบ (Creep resistance) คือ ความสามารถของวัสดุในการต้านทานการเปลี่ยนรูปอย่างช้าๆ หรือการเสียรูปทรงถาวร ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นคงที่และอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน

การคืบ (Creep) เป็นปรากฏการณ์ที่วัสดุเกิดการเปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับความเค้นที่ต่ำกว่าจุดคราก (yield strength) ของวัสดุก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัสดุนั้นอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง การคืบสามารถนำไปสู่การเสียรูปทรงถาวร การแตกหัก หรือการลดลงของประสิทธิภาพของชิ้นส่วนหรือโครงสร้างได้

วัสดุที่มีความทนต่อการคืบสูง จะสามารถรักษารูปร่างและขนาดเดิมได้ แม้จะอยู่ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับวัสดุที่ใช้ในงานที่ต้องรับภาระหนักและอุณหภูมิสูง เช่น ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์กังหันก๊าซ, หม้อไอน้ำแรงดันสูง, หรือท่อส่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ปัจจัยที่มีผลต่อความทนต่อการคืบ

  • องค์ประกอบทางเคมีของวัสดุ: วัสดุบางชนิด เช่น โลหะผสมที่มีโครเมียม โมลิบดีนัม หรือทังสเตนสูง มักจะมีความทนต่อการคืบที่ดีกว่าวัสดุอื่นๆ
  • โครงสร้างจุลภาคของวัสดุ: การควบคุมขนาดและการกระจายตัวของเกรน (grain) และเฟส (phase) ต่างๆ ในวัสดุ สามารถช่วยเพิ่มความทนต่อการคืบได้
  • อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้การคืบเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • ความเค้น: ความเค้นที่สูงขึ้นจะทำให้การคืบเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • เวลา: ยิ่งวัสดุอยู่ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูงเป็นเวลานานเท่าใด การคืบก็จะยิ่งเกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น

สรุป

ความทนต่อการคืบเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของวัสดุที่ใช้ในงานที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูง การเลือกใช้วัสดุที่มีความทนต่อการคืบที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานและความปลอดภัยของชิ้นส่วนหรือโครงสร้างได้

ลวดเชื่อม AWS A 5.5 : E8018-G

AWS A 5.5 : E8018-G คืออะไร?

  • AWS A 5.5 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้มฟลักซ์ (Flux-cored arc welding) ที่ใช้สำหรับเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง
  • E8018-G เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.5 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัว “G” หมายถึง ลวดเชื่อมชนิดนี้มีส่วนผสมเพื่อเพิ่มความเหนียวของเนื้อเชื่อมที่อุณหภูมิต่ำ

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E8018-G

  • เป็นลวดเชื่อมชนิด Low-hydrogen ที่มีฟลักซ์หุ้ม (Iron powder, low-hydrogen electrode) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อม
  • มีส่วนผสมของนิกเกิล (Nickel) เพื่อเพิ่มความเหนียวของเนื้อเชื่อมที่อุณหภูมิต่ำ
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง (high tensile strength steel) ที่ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิต่ำ
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีคุณภาพสูง ความแข็งแรงดี ทนต่อแรงกระแทก และมีความเหนียวดีที่อุณหภูมิต่ำ
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือสูงในสภาวะอุณหภูมิต่ำ เช่น โครงสร้างนอกอาคารในเขตหนาว, ภาชนะบรรจุแก๊สเหลว, และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

การใช้งานทั่วไปของ E8018-G

  • งานเชื่อมโครงสร้างเหล็กที่ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิต่ำ
  • งานเชื่อมภาชนะบรรจุแก๊สเหลว
  • งานเชื่อมท่อส่งในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
  • งานเชื่อมซ่อมบำรุงในสภาวะอุณหภูมิต่ำ
  • งานเชื่อมเหล็กที่มีความหนาและต้องการความเหนียวที่อุณหภูมิต่ำ

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E8018-G ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • ควรเก็บลวดเชื่อมในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อม และอาจทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อมได้

สรุป

AWS A 5.5 : E8018-G เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษในการทนต่ออุณหภูมิต่ำ เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือในสภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำ

ลวดเชื่อม AWS A 5.1 : E7016

AWS A 5.1 : E7016 คืออะไร?

  • AWS A 5.1 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้ม (Shielded Metal Arc Welding – SMAW) หรือที่เรามักเรียกว่า “ลวดเชื่อมธูป”
  • E7016 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.1 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E7016

  • เป็นลวดเชื่อมชนิด Low-hydrogen ที่มีฟลักซ์หุ้ม (potassium silicate) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อม
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง (high tensile steel) และเหล็กโครงสร้างทั่วไป
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีคุณภาพสูง ความแข็งแรงดี ทนต่อแรงกระแทก และมีความเหนียว
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือสูง เช่น โครงสร้างอาคาร สะพาน ภาชนะความดัน และท่อส่ง
  • เนื่องจากเป็นลวดเชื่อมชนิด low-hydrogen จึงต้องระมัดระวังเรื่องความชื้น ควรเก็บในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ

การใช้งานทั่วไปของ E7016

  • งานเชื่อมโครงสร้างเหล็ก
  • งานเชื่อมภาชนะความดัน
  • งานเชื่อมท่อส่ง
  • งานเชื่อมซ่อมบำรุง
  • งานเชื่อมเหล็กที่มีความหนา

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E7016 ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • ควรเก็บลวดเชื่อมในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อม และอาจทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อมได้

สรุป

AWS A 5.1 : E7016 เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานเชื่อมเหล็ก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ให้ตะเข็บเชื่อมคุณภาพสูง เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือ

ลวดเชื่อม AWS A 5.1 : E6013

AWS A 5.1 : E6013 คืออะไร?

  • AWS A 5.1 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้ม (Shielded Metal Arc Welding – SMAW) หรือที่เรามักเรียกว่า “ลวดเชื่อมธูป”
  • E6013 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.1 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E6013

  • เป็นลวดเชื่อมชนิดรูไทล์ (Rutile) ที่มีฟลักซ์หุ้ม ทำให้เกิดการเชื่อมที่นุ่มนวล มีควันและสะเก็ดน้อย
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position) รวมถึงเชื่อมลง (vertical down)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่เรียบ สวยงาม และทำความสะอาดง่าย (slag removal)
  • มีความสามารถในการเชื่อมต่อช่องว่างได้ดี (good gap-bridging ability) และจุดติดอาร์คง่าย (easy arc-striking)
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ (low carbon steel) และเหล็กแผ่นบาง โดยเฉพาะงานที่ต้องการความสวยงามของตะเข็บเชื่อม

การใช้งานทั่วไปของ E6013

  • งานเชื่อมโครงสร้างเหล็กขนาดเล็กและงานซ่อมทั่วไป
  • งานเชื่อมเหล็กแผ่นบาง
  • งานเชื่อมที่ต้องการความสวยงามของตะเข็บเชื่อม เช่น งานเชื่อมเฟอร์นิเจอร์ หรือ งานเชื่อมอุปกรณ์ตกแต่ง
  • งานเชื่อมที่ต้องเชื่อมต่อในตำแหน่งที่ยาก เช่น การเชื่อมเหนือศีรษะ หรือ การเชื่อมในแนวตั้งลง

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E6013 ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • แม้ว่า E6013 จะสามารถเชื่อมได้ทุกตำแหน่ง แต่การเชื่อมในบางตำแหน่งอาจต้องใช้เทคนิคพิเศษ

สรุป

AWS A 5.1 : E6013 เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากใช้งานง่าย ให้ตะเข็บเชื่อมที่สวยงาม และสามารถเชื่อมได้ทุกตำแหน่ง เหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กทั่วไป และงานที่ต้องการความสวยงามของตะเข็บเชื่อม

ลวดเชื่อม DIN 8555

DIN 8555 คือมาตรฐานเยอรมันที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมผิวแข็ง (hardfacing) ซึ่งเป็นกระบวนการเชื่อมที่เพิ่มชั้นของโลหะผสมที่มีความแข็งและทนต่อการสึกหรอบนพื้นผิวของชิ้นงาน เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานและความทนทานต่อการสึกหรอ การกัดกร่อน หรือแรงกระแทก

คุณสมบัติหลักของ DIN 8555

  • กำหนดประเภทของลวดเชื่อมผิวแข็งตามองค์ประกอบทางเคมีและคุณสมบัติเชิงกลของโลหะเชื่อม
  • ครอบคลุมลวดเชื่อมหลากหลายประเภท ตั้งแต่โลหะผสมที่มีเหล็กเป็นหลัก ไปจนถึงโลหะผสมที่มีโครเมียม โคบอลต์ นิกเกิล และทังสเตน
  • ระบุระดับความแข็งของโลหะเชื่อม เพื่อให้สามารถเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท

การใช้งานทั่วไปของลวดเชื่อม DIN 8555

ลวดเชื่อม DIN 8555 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการชิ้นส่วนที่มีความทนทานต่อการสึกหรอสูง เช่น

  • อุตสาหกรรมเหมืองแร่และการก่อสร้าง: เช่น ฟันของรถขุด, ใบมีดของรถตัก, กรวยบด, ค้อนทุบ
  • อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ: เช่น ลูกกลิ้ง, แม่พิมพ์, เครื่องมือตัด
  • อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงาน: เช่น วาล์ว, ปั๊ม, ท่อส่ง
  • อุตสาหกรรมการเกษตร: เช่น ใบมีดพรวนดิน, ใบมีดเกี่ยวข้าว

ประโยชน์ของการใช้ลวดเชื่อม DIN 8555

  • เพิ่มอายุการใช้งานของชิ้นส่วน
  • ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเปลี่ยนชิ้นส่วน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์
  • ลดการหยุดทำงานเนื่องจากการชำรุดของชิ้นส่วน

ข้อควรพิจารณาในการเลือกลวดเชื่อม DIN 8555

  • ประเภทของวัสดุฐานที่ต้องการเชื่อม
  • สภาพการใช้งานและประเภทของการสึกหรอที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
  • ความแข็งที่ต้องการของโลหะเชื่อม
  • กระบวนการเชื่อมที่เหมาะสม

สรุป

DIN 8555 เป็นมาตรฐานที่สำคัญสำหรับลวดเชื่อมผิวแข็ง ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกลวดเชื่อมที่เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท และเพิ่มอายุการใช้งานของชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมต่างๆ