ลวดเชื่อม AWS A 5.5 : E8016-B2

AWS A 5.5 : E8016-B2 คืออะไร?

  • AWS A 5.5 เป็นมาตรฐานของสมาคมเชื่อมแห่งอเมริกา (American Welding Society) ที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับลวดเชื่อมโลหะหุ้มฟลักซ์ (Flux-cored arc welding) ที่ใช้สำหรับเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง และเหล็กทนความร้อน
  • E8016-B2 เป็นการจำแนกประเภทของลวดเชื่อมตามมาตรฐาน AWS A 5.5 ซึ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีของลวดเชื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัว “B2” หมายถึง ลวดเชื่อมชนิดนี้มีส่วนผสมของโครเมียม (Chromium) และโมลิบดีนัม (Molybdenum)

คุณสมบัติของลวดเชื่อม E8016-B2

  • เป็นลวดเชื่อมชนิด Low-hydrogen ที่มีฟลักซ์หุ้ม (Iron powder, low-hydrogen electrode) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อม
  • มีส่วนผสมของโครเมียมและโมลิบดีนัม ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนต่อการคืบ (Creep resistance) และทนต่อการกัดกร่อนที่อุณหภูมิสูง
  • ออกแบบมาเพื่อเชื่อมเหล็กกล้ากำลังรับแรงดึงสูง (high tensile strength steel) ที่ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิสูง และเหล็กทนความร้อนประเภท Pearlitic ที่มีส่วนผสมของโครเมียม-โมลิบดีนัม
  • สามารถใช้เชื่อมได้ทุกตำแหน่ง (all-position)
  • ให้ตะเข็บเชื่อมที่มีคุณภาพสูง ความแข็งแรงดี ทนต่อแรงกระแทก และมีความเหนียวดีที่อุณหภูมิสูง
  • เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือสูงในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่น ท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง, หม้อไอน้ำ, และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

การใช้งานทั่วไปของ E8016-B2

  • งานเชื่อมท่อส่งไอน้ำแรงดันสูง
  • งานเชื่อมหม้อไอน้ำ
  • งานเชื่อมอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ต้องทนความร้อนและแรงดันสูง
  • งานเชื่อมเหล็กทนความร้อนประเภท Pearlitic ที่มีส่วนผสมของโครเมียม-โมลิบดีนัม
  • งานเชื่อมซ่อมบำรุงในสภาวะอุณหภูมิสูง

ข้อควรระวัง

  • การเชื่อมด้วยลวดเชื่อม E8016-B2 ควรทำโดยช่างเชื่อมที่มีความชำนาญ
  • ควรเลือกขนาดและประเภทของลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับงานและวัสดุที่เชื่อม
  • ควรเก็บลวดเชื่อมในที่แห้งและอบลวดเชื่อมก่อนใช้งานตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันความชื้นที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อม และอาจทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อเชื่อมได้

สรุป

AWS A 5.5 : E8016-B2 เป็นลวดเชื่อมชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษในการทนต่ออุณหภูมิสูงและเหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กทนความร้อน เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง

ทนต่อการคืบ (Creep resistance) คืออะไร

ทนต่อการคืบ (Creep resistance) คือ ความสามารถของวัสดุในการต้านทานการเปลี่ยนรูปอย่างช้าๆ หรือการเสียรูปทรงถาวร ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นคงที่และอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน

การคืบ (Creep) เป็นปรากฏการณ์ที่วัสดุเกิดการเปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับความเค้นที่ต่ำกว่าจุดคราก (yield strength) ของวัสดุก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัสดุนั้นอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง การคืบสามารถนำไปสู่การเสียรูปทรงถาวร การแตกหัก หรือการลดลงของประสิทธิภาพของชิ้นส่วนหรือโครงสร้างได้

วัสดุที่มีความทนต่อการคืบสูง จะสามารถรักษารูปร่างและขนาดเดิมได้ แม้จะอยู่ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับวัสดุที่ใช้ในงานที่ต้องรับภาระหนักและอุณหภูมิสูง เช่น ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์กังหันก๊าซ, หม้อไอน้ำแรงดันสูง, หรือท่อส่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ปัจจัยที่มีผลต่อความทนต่อการคืบ

  • องค์ประกอบทางเคมีของวัสดุ: วัสดุบางชนิด เช่น โลหะผสมที่มีโครเมียม โมลิบดีนัม หรือทังสเตนสูง มักจะมีความทนต่อการคืบที่ดีกว่าวัสดุอื่นๆ
  • โครงสร้างจุลภาคของวัสดุ: การควบคุมขนาดและการกระจายตัวของเกรน (grain) และเฟส (phase) ต่างๆ ในวัสดุ สามารถช่วยเพิ่มความทนต่อการคืบได้
  • อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้การคืบเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • ความเค้น: ความเค้นที่สูงขึ้นจะทำให้การคืบเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • เวลา: ยิ่งวัสดุอยู่ภายใต้สภาวะที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูงเป็นเวลานานเท่าใด การคืบก็จะยิ่งเกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น

สรุป

ความทนต่อการคืบเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของวัสดุที่ใช้ในงานที่มีความเค้นและอุณหภูมิสูง การเลือกใช้วัสดุที่มีความทนต่อการคืบที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานและความปลอดภัยของชิ้นส่วนหรือโครงสร้างได้