3 อย่างที่เอามาทำล้ออุตสาหกรรม ล้อพลาสติก PP vs ล้อยางสังเคราะห์ TPR vs ล้อยูรีเทน PU

1. ล้อพลาสติก PP (Polypropylene)

ล้อพลาสติก PP หรือล้อโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) เป็นล้อชนิดหนึ่งที่ทำจากพลาสติก PP ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นหลายประการ ทำให้ได้รับความนิยมในการใช้งานหลากหลายด้าน

คุณสมบัติเด่นของล้อพลาสติก PP

  • ทนทานต่อสารเคมี: ล้อพลาสติก PP มีความทนทานต่อสารเคมี กรด ด่าง และตัวทำละลายต่างๆ ได้ดี จึงเหมาะสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับสารเคมี
  • ทนทานต่อการเสียดสี: ล้อ PP มีความทนทานต่อการเสียดสีและการสึกหรอได้ดี ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
  • รับน้ำหนักได้ดี: ล้อ PP สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงระดับปานกลาง ขึ้นอยู่กับขนาดและการออกแบบของล้อ
  • ไม่เป็นสนิม: ล้อ PP ไม่เป็นสนิม ไม่ผุกร่อน จึงเหมาะสำหรับใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง
  • ราคาประหยัด: ล้อ PP มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับล้อที่ทำจากวัสดุอื่นๆ ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า

การใช้งานล้อพลาสติก PP

ล้อพลาสติก PP นิยมใช้ในงานหลากหลายประเภท เช่น

  • งานอุตสาหกรรม: ใช้เป็นล้อสำหรับรถเข็น รถเข็นในโรงงาน รถเข็นในคลังสินค้า และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ
  • งานเฟอร์นิเจอร์: ใช้เป็นล้อสำหรับเก้าอี้สำนักงาน โต๊ะทำงาน และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายได้
  • งานเครื่องใช้ไฟฟ้า: ใช้เป็นล้อสำหรับเครื่องดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายได้
  • งานอื่นๆ: ล้อ PP ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆ ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและความคิดสร้างสรรค์

ข้อควรพิจารณาในการเลือกล้อพลาสติก PP

  • ขนาดและน้ำหนักบรรทุก: เลือกขนาดของล้อและน้ำหนักบรรทุกที่เหมาะสมกับการใช้งาน
  • ประเภทของล้อ: เลือกล้อตาย ล้อหมุน หรือล้อหมุนพร้อมเบรก ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน
  • สภาพแวดล้อมการใช้งาน: พิจารณาเลือกใช้ล้อ PP ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น ล้อสำหรับใช้งานในร่ม ล้อสำหรับใช้งานกลางแจ้ง หรือล้อสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมี

2. ล้อยางสังเคราะห์ TPR (Thermoplastic Rubber)

ล้อยางสังเคราะห์ TPR หรือ Thermoplastic Rubber เป็นล้อที่ผลิตจากวัสดุยางสังเคราะห์ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติโดดเด่นหลายประการ ทำให้เป็นที่นิยมใช้ในงานหลากหลายประเภท

TPR จะเป็นส่วนหนึ่งของ TPE ซึ่มมีหลายอย่างมาก หลายคุณสมบัติด้วยครับ ดูข้อมูลของ Thermoplastic Elastomer ทั้งหมดได้ที่นี่

คุณสมบัติเด่นของล้อยางสังเคราะห์ TPR

  • ความยืดหยุ่นและการดูดซับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม: ล้อยาง TPR มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี ช่วยลดการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนขณะเคลื่อนที่ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความนุ่มนวลและการปกป้องพื้นผิว
  • ทนทานต่อการสึกหรอและการฉีกขาด: วัสดุ TPR มีความทนทานต่อการสึกหรอและการฉีกขาดได้ดี ทำให้ล้อ TPR มีอายุการใช้งานยาวนาน
  • ทนทานต่อสารเคมีและสภาพอากาศ: ล้อ TPR ทนทานต่อสารเคมีหลายชนิด น้ำมัน และสภาพอากาศต่างๆ จึงเหมาะสำหรับใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง
  • ไม่ทิ้งรอยดำบนพื้นผิว: ล้อ TPR ไม่ทิ้งรอยดำหรือคราบสกปรกบนพื้นผิว ทำให้เหมาะสำหรับใช้งานบนพื้นผิวที่บอบบาง เช่น พื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หรือพื้นผิวเคลือบ
  • เสียงเงียบ: ล้อ TPR มีเสียงเงียบขณะเคลื่อนที่ ช่วยลดเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมการทำงาน

การใช้งานล้อยางสังเคราะห์ TPR

ล้อยางสังเคราะห์ TPR นิยมใช้ในงานหลากหลายประเภท เช่น

  • งานอุตสาหกรรม: ใช้เป็นล้อสำหรับรถเข็น รถเข็นในโรงพยาบาล รถเข็นในโรงแรม และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ ที่ต้องการความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวน
  • งานเฟอร์นิเจอร์: ใช้เป็นล้อสำหรับเก้าอี้สำนักงาน โต๊ะทำงาน และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายได้สะดวกและไม่ทิ้งรอยบนพื้น
  • งานเครื่องใช้ไฟฟ้า: ใช้เป็นล้อสำหรับเครื่องดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายได้ง่ายและลดเสียงรบกวน
  • งานอื่นๆ: ล้อ TPR ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆ ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและความคิดสร้างสรรค์

ข้อควรพิจารณาในการเลือกล้อยางสังเคราะห์ TPR

  • ขนาดและน้ำหนักบรรทุก: เลือกขนาดของล้อและน้ำหนักบรรทุกที่เหมาะสมกับการใช้งาน
  • ประเภทของล้อ: เลือกล้อตาย ล้อหมุน หรือล้อหมุนพร้อมเบรก ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน
  • สภาพแวดล้อมการใช้งาน: พิจารณาเลือกใช้ล้อ TPR ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น ล้อสำหรับใช้งานในร่ม ล้อสำหรับใช้งานกลางแจ้ง หรือล้อสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมี

3. ล้อยูรีเทน PU (Polyurethane)

ล้อยูรีเทน PU หรือล้อโพลียูรีเทน เป็นล้อที่ผลิตจากวัสดุโพลียูรีเทน ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติโดดเด่นหลายประการ ทำให้เป็นที่นิยมใช้ในงานหลากหลายประเภท

คุณสมบัติเด่นของล้อยูรีเทน PU

  • ความทนทานสูง: ล้อยูรีเทน PU มีความทนทานต่อการสึกหรอ การฉีกขาด และแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
  • รับน้ำหนักได้มาก: ล้อ PU สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ปานกลางไปจนถึงหนักมาก ขึ้นอยู่กับขนาดและการออกแบบของล้อ
  • ทนทานต่อสารเคมี: ล้อ PU ทนทานต่อน้ำมัน จาระบี สารเคมี และตัวทำละลายต่างๆ ได้ดี จึงเหมาะสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับสารเคมี
  • ไม่ทิ้งรอยบนพื้น: ล้อ PU ไม่ทิ้งรอยดำหรือคราบสกปรกบนพื้นผิว ทำให้เหมาะสำหรับใช้งานบนพื้นผิวที่บอบบาง เช่น พื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หรือพื้นผิวเคลือบ
  • เสียงเงียบ: ล้อ PU มีเสียงเงียบขณะเคลื่อนที่ ช่วยลดเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมการทำงาน

การใช้งานล้อยูรีเทน PU

ล้อยูรีเทน PU นิยมใช้ในงานหลากหลายประเภท เช่น

  • งานอุตสาหกรรม: ใช้เป็นล้อสำหรับรถเข็น รถเข็นในโรงงาน รถเข็นในคลังสินค้า และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแรงและทนทาน
  • งานเฟอร์นิเจอร์: ใช้เป็นล้อสำหรับเก้าอี้สำนักงาน โต๊ะทำงาน และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ต้องการเคลื่อนย้ายได้สะดวกและไม่ทิ้งรอยบนพื้น
  • งานเครื่องจักร: ใช้เป็นล้อสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานหนัก
  • งานอื่นๆ: ล้อ PU ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆ ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและความคิดสร้างสรรค์

ข้อควรพิจารณาในการเลือกล้อยูรีเทน PU

  • ขนาดและน้ำหนักบรรทุก: เลือกขนาดของล้อและน้ำหนักบรรทุกที่เหมาะสมกับการใช้งาน
  • ประเภทของล้อ: เลือกล้อตาย ล้อหมุน หรือล้อหมุนพร้อมเบรก ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน
  • ความแข็งของล้อ: เลือกความแข็งของล้อ PU ที่เหมาะสมกับพื้นผิวและสภาพแวดล้อมการใช้งาน ยิ่งความแข็งสูง ยิ่งทนทาน แต่การดูดซับแรงกระแทกจะน้อยลง
  • สภาพแวดล้อมการใช้งาน: พิจารณาเลือกใช้ล้อ PU ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น ล้อสำหรับใช้งานในร่ม ล้อสำหรับใช้งานกลางแจ้ง หรือล้อสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมี

ทั้ง 3 อย่าง ข้อดีข้อเสีย ต่างกันอย่างไร

ลักษณะล้อพลาสติก PPล้อยางสังเคราะห์ TPRล้อยูรีเทน PU
ข้อดีราคาประหยัด, ทนทานต่อสารเคมี, ไม่เป็นสนิม, น้ำหนักเบาดูดซับแรงกระแทกดีเยี่ยม, เงียบ, ไม่ทิ้งรอยบนพื้น, ทนทานต่อสารเคมีและสภาพอากาศทนทานสูง, รับน้ำหนักได้มาก, ทนทานต่อสารเคมี, ไม่ทิ้งรอยบนพื้น, เงียบ
ข้อเสียรับน้ำหนักได้น้อยกว่า PU, อาจมีเสียงดังเมื่อใช้งานบนพื้นผิวบางประเภทความทนทานต่อการสึกหรออาจไม่ดีเท่า PU, ราคาอาจสูงกว่า PPราคาอาจสูงกว่า PP และ TPR, อาจแข็งกว่า TPR ทำให้ดูดซับแรงกระแทกได้น้อยกว่า
เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก, สภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีงานที่ต้องการความนุ่มนวล, ลดเสียงรบกวน, และปกป้องพื้นผิวงานที่ต้องการความทนทานสูง, รับน้ำหนักมาก, และใช้งานในสภาพแวดล้อมหลากหลาย
ตัวอย่างการใช้งานรถเข็นทั่วไป, รถเข็นในโรงงาน, เฟอร์นิเจอร์รถเข็นในโรงพยาบาล, รถเข็นในโรงแรม, เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้ารถเข็นอุตสาหกรรม, รถเข็นหนัก, เครื่องจักร, เฟอร์นิเจอร์

รวมขั้นตอน งานขัดผิวสแตนเลสแต่ละแบบ ทั้ง แฮร์ไลน์, ซาติน และเงา

1. ขั้นตอนการขึ้นชิ้นงาน

2. ขั้นตอนการเตรียมก่อนขัด

3. ปรับระดับผิว

4. ขัดหยาบ

5. ขัดละเอียดกลาง

5.1 ขัดซาติน

5.2 ขัดแฮร์ไลน์

6. ขัดละเอียด

7. ขัดเงา

8. การปิดผิวเพื่อป้องกันขอยขีดข่วน ผิวเงา

ฟิล์มกันรอยสำหรับสแตนเลสเป็นสิ่งจำเป็นในการปกป้องพื้นผิวสแตนเลสจากรอยขีดข่วน, รอยเปื้อน, และความเสียหายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผลิต, การขนส่ง, หรือการใช้งาน ฟิล์มกันรอยที่มีคุณภาพดีควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

ทนต่อสารเคมี: ฟิล์มควรทนทานต่อสารเคมีต่างๆ ที่อาจสัมผัสกับพื้นผิวสแตนเลส, เพื่อป้องกันการกัดกร่อนหรือทำลายพื้นผิว

การยึดเกาะที่ดี: ฟิล์มควรยึดติดกับพื้นผิวสแตนเลสได้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการลอกหรือหลุดออกง่าย, โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรืออุณหภูมิสูง

ทนต่อการฉีกขาด: ฟิล์มต้องมีความแข็งแรงทนทานต่อการฉีกขาด, เพื่อให้สามารถทนต่อแรงกระแทกหรือการเสียดสีต่างๆ ได้โดยไม่เสียหาย

ป้องกันรอยขีดข่วน: ฟิล์มต้องมีความสามารถในการป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี, เพื่อรักษาพื้นผิวสแตนเลสให้คงความสวยงามและเงางาม

ป้องกันคราบสกปรก: ฟิล์มควรป้องกันคราบสกปรก, ฝุ่นละออง, และสารเคมีต่างๆ ที่อาจทำให้พื้นผิวสแตนเลสหมองคล้ำหรือเสียหาย

ลอกออกง่าย: ฟิล์มควรลอกออกได้ง่ายโดยไม่ทิ้งคราบกาวหรือสารตกค้างใดๆ บนพื้นผิวสแตนเลส

มีความโปร่งใส: ฟิล์มควรมีความโปร่งใสสูงเพื่อไม่บดบังความสวยงามของพื้นผิวสแตนเลส

ทนทานต่อสภาพอากาศ: ฟิล์มควรทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ เช่น แสงแดด, ฝน, และความชื้น, เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

ถ้าเทียบกับพลาสติกทั่วไปมันก็จะแพงกว่ากันหน่อยและครับ

http://thai.surfaceprotection-film.com/supplier-404260-stainless-steel-protection-film

9. (วิธีเพิ่มเติม) การกัดกรด

https://www.facebook.com/watch/?v=1131170664860195

10. (วิธีเพิ่มเติม) การยิงทราย

ยิงทราย

วิธีการยิงที่นิยมใช้กับสแตนเลส ก็คือ ยิืงทรายลงชิ้นงาน

ยิงเม็ดบีด

และอีกลายที่สวยเวลายิงสแตนเลส ก็คือการยิงเม็ด

สแตนเลสสีทอง สแตนเลสสีโรสโกล์ด สแตนเลสสีดำ เค้าทำกันได้อย่างไร

กระบวนการทำสีสแตนเลสยอดนิยม

1. PVD Coating (Physical Vapor Deposition)

เป็นเทคนิคการเคลือบผิวด้วยไอระเหยทางกายภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในอุตสาหกรรม เนื่องจากให้สีที่สวยงาม ทนทานต่อการขีดข่วน และมีอายุการใช้งานยาวนาน PVD Coating สามารถสร้างสีสันได้หลากหลาย เช่น สีทอง สีทองแดง สีดำ สีน้ำเงิน และสีอื่นๆ อีกมากมาย

ดูคลิปตอนอบ PVD

PVD นิยมเอามาทำสี สแตนเลสสีทองมาก และยังทำสีอื่นๆได้อีกเช่น สีโรสโกล์ด พิงค์โกล์ด หรือพวกทำก็ทำได้

2. Powder Coating

เป็นการเคลือบผิวด้วยผงสีแห้ง แล้วนำไปอบด้วยความร้อนสูง ทำให้ผงสีหลอมละลายและเคลือบติดแน่นกับผิวสแตนเลส ข้อดีของ Powder Coating คือ มีสีให้เลือกมากมาย ทนทานต่อการกัดกร่อน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3. การทาสี/พ่นสี

เป็นวิธีการทำสีที่ง่ายและประหยัด สามารถใช้ได้ทั้งสีน้ำและสีน้ำมัน แต่สีที่ได้อาจไม่ทนทานเท่ากับเทคนิคอื่นๆ และอาจต้องมีการทาซ้ำเป็นระยะ

4. Electroplating

หรือการชุบเคลือบด้วยไฟฟ้า เป็นเทคนิคการเคลือบผิวด้วยโลหะ เช่น ทอง เงิน หรือโครเมียม เพื่อเพิ่มความสวยงามและความทนทาน

5. Anodizing

เป็นการเคลือบผิวด้วยกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิดชั้นออกไซด์ที่มีความแข็งและทนทานสูง สามารถสร้างสีสันได้หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะใช้กับอะลูมิเนียมมากกว่าสแตนเลส

6. การพิมพ์ลาย

สามารถใช้เทคนิคการพิมพ์ต่างๆ เช่น การพิมพ์ซิลค์สกรีน หรือการพิมพ์ดิจิตอล เพื่อสร้างลวดลายหรือภาพกราฟิกบนสแตนเลส

7. เลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับงานของคุณ

การเลือกเทคนิคการทำสีสแตนเลสที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น งบประมาณ ความทนทานที่ต้องการ สีสันที่ต้องการ และลักษณะการใช้งาน หากคุณไม่แน่ใจว่าควรเลือกเทคนิคใด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำ

ไม่ว่าคุณจะเลือกเทคนิคใด การทำสีสแตนเลสจะช่วยเพิ่มความสวยงามและความมีเอกลักษณ์ให้กับงานออกแบบของคุณอย่างแน่นอน ลองสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ และสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร!

สแตนเลสแท้หรือไม่แท้? ดูได้อย่างไร? เช็คยังไง?

หัวขุน สแตนเลส แท้

การตรวจสอบว่าเป็นสแตนเลสแท้หรือไม่สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้:

  1. ทดสอบด้วยแม่เหล็ก: สแตนเลสแท้ส่วนใหญ่ไม่ดึงดูดแม่เหล็ก (เช่น 304) แต่บางประเภท (เช่น 430) ยังสามารถดึงดูดได้ ดังนั้นหากไม่ดึงดูดแม่เหล็กมีความเป็นไปได้ว่าเป็นสแตนเลสแท้ แต่หากดึงดูดไม่สามารถแน่นอนได้ว่าเป็นปลอม
  2. การตรวจสอบสนิม: สแตนเลสแท้จะม resist ต่อการเกิดสนิมดีกว่าเหล็กหรือสแตนเลสปลอม
  3. การตรวจสอบด้วยผลิตภัณฑ์เคมี: มีสารเคมีเฉพาะที่สามารถใช้ทดสอบสแตนเลสได้ หากต้องการให้เป็นการทดสอบแบบมืออาชีพ
  4. ตรวจสอบด้วยสายตา: พิจารณาผิวของสแตนเลส สแตนเลสแท้มีความเงางามและสม่ำเสมอ แต่อาจยังต้องขึ้นกับคุณภาพและการประกวดผลิตภัณฑ์ด้วย
  5. ข้อมูลจากผู้ผลิต: หากมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตหรือแบรนด์ สามารถตรวจสอบข้อมูลนั้นได้

ทั้งนี้การทดสอบด้วยแม่เหล็กเป็นวิธีที่ง่ายและเร็ว แต่ก็อาจไม่แน่นอน 100% การเชื่อมโยงผลการทดสอบหลายวิธีเข้าด้วยกันจะช่วยให้มั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้น.

1. สแตนเลสแท้จะไม่ขึ้นสนิม ใช่หรือไม่?

ไม่เป็นไปตามนั้นเสมอไป. สแตนเลสมีความต้านทานต่อการเกิดสนิมมากกว่าเหล็กทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดสนิมเลยในทุกสภาวะ.

มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้สแตนเลสเกิดสนิม:

  1. ประเภทของสแตนเลส: บางประเภทของสแตนเลสมีการต้านทานต่อสนิมได้ดีกว่าประเภทอื่น ๆ. เช่น สแตนเลสประเภท 304 และ 316 มีความต้านทานต่อสนิมมากกว่าประเภท 430 เนื่องจากมีส่วนผสมของโครเมียมและนิกเกิลที่สูง.
  2. สภาวะแวดล้อม: สแตนเลสในสภาวะที่มีความชื้นสูง, สภาพทางเกลือหรือสารเคมีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดสนิม.
  3. การดูแลรักษา: การล้างหรือทำความสะอาดสแตนเลสโดยไม่ใช้วิธีที่เหมาะสม หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมีที่รุนแรงอาจทำให้สแตนเลสเกิดสนิม.
  4. การติดตั้ง: หากสแตนเลสถูกติดตั้งในที่ที่มีการสัมผัสกับเหล็กหรือวัสดุอื่น ๆ ที่อาจมีสนิม, การสนิมนั้นอาจจะขยายตัวไปยังสแตนเลส.

ดังนั้น, ถึงแม้สแตนเลสจะมีความต้านทานต่อสนิมมากกว่าวัสดุอื่น ๆ, แต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสนิมในบางสภาวะ. การดูแลและการรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สแตนเลสยืนยาวนานและป้องกันการเกิดสนิม.

2. สภาวะแวดล้อมใดไม่เหมาะกับสแตนเลส ทำให้สแตนเลสเกิดสนิมได้

สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับสแตนเลสและอาจทำให้สแตนเลสเกิดสนิมได้ดังนี้:

  1. สภาพทางเกลือหรือสิ่งทะเล: สแตนเลสในที่ติดทะเลหรือใกล้เขตชายฝั่งจะได้รับการโจมตีจากสิ่งเกลือ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสนิม, โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลมที่พัดผ่านมาจากทะเล.
  2. สภาวะที่มีความเป็นกรด: สภาพแวดล้อมที่มีการปล่อยก๊าซหรือของเหลวที่เป็นกรด, เช่น ในโรงงานเคมี หรือสภาวะที่มีความเป็นกรดจากฝนกรด.
  3. สภาวะที่มีความชื้นสูง: พื้นที่ที่มีความชื้นสูง, เช่น ในห้องน้ำหรือพื้นที่ที่ไม่มีการระบายอากาศดี ๆ, สามารถทำให้สแตนเลสเกิดสนิมได้.
  4. การสัมผัสกับวัสดุอื่น: หากสแตนเลสสัมผัสกับเหล็กหรือวัสดุที่มีการเกิดสนิม, การสนิมนั้นอาจจะขยายตัวไปยังสแตนเลส.
  5. ฝุ่นอุตสาหกรรม: ฝุ่นที่มาจากโรงงานหรือสภาวะอุตสาหกรรมอาจมีสารเคมีที่ทำให้สแตนเลสเกิดสนิม.
  6. การสัมผัสกับสารเคมี: สารเคมีบางประเภท, เช่น คลอไรด์, ซัลฟัต, และฮาโลจีนส์ สามารถทำให้สแตนเลสเกิดสนิมได้ ซึ่งมักพบในสารล้างจาน, น้ำยาทำความสะอาด, หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ.

ดังนั้น, การเลือกใช้ประเภทของสแตนเลสที่เหมาะสมสำหรับสภาวะแวดล้อมที่จะใช้งาน, การดูแลรักษา, และการป้องกันสภาวะแวดล้อมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสนิมบนสแตนเลส

3. หากเกิดสนิมที่สแตนเลส 304 ต้องทำอย่างไร?

หากเกิดสนิมบนสแตนเลสประเภท 304, ควรจัดการด้วยวิธีดังนี้:

  1. การล้างด้วยน้ำและสบู่: ใช้น้ำอุ่นและสบู่ไม่รุนแรง ล้างและขัดด้วยผ้าหรือฟองน้ำที่ไม่ทำร้ายผิวของสแตนเลส. จากนั้น, ล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดแห้งด้วยผ้าเช็ดที่ไม่ทิ้งคราบ.
  2. การใช้วิธีทางเคมี: ในกรณีที่สนิมมีมากหรือยากต่อการขัด, สามารถใช้น้ำยาล้างสแตนเลสเฉพาะที่มีในตลาด. ต้องอ่านคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานและเตือนภัยที่อยู่บนฉลากของผลิตภัณฑ์ด้วย.
  3. การใช้กรดนิตริก: สำหรับการขัดสนิมแบบเฉพาะ, สามารถใช้ผสมน้ำของกรดนิตริกเพื่อช่วยล้างสนิมออก. หลังจากการใช้, ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งทันที.
  4. ป้องกันการเกิดสนิมในอนาคต: หลังจากการทำความสะอาด, การใช้น้ำมันเพื่อประมาณผิวสแตนเลสหรือใช้สเปรย์ป้องกันสนิมสำหรับสแตนเลส สามารถช่วยในการป้องกันการเกิดสนิมในอนาคต.
  5. หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่คม: ไม่ควรใช้สกอตไบร์ทหรือวัสดุที่สากคมในการขัดสแตนเลส เนื่องจากมันอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนและทำลายผิวของสแตนเลส.

ที่สำคัญ, ต้องแน่ใจว่าเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการทำความสะอาดเหมาะสมสำหรับสแตนเลสและไม่ทำร้ายผิวของมัน.

4. ทำอย่างไรให้สแตนเลส สวยและเงางาม?

การทำให้สแตนเลสสวยและเงางามต้องใช้วิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง โดยคำแนะนำข้างล่างนี้:

  1. การล้างบ่อย ๆ: ล้างสแตนเลสอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำและสบู่ไม่รุนแรง โดยใช้ผ้านุ่มหรือฟองน้ำ. ล้างและเช็ดให้แห้งทันทีเพื่อป้องกันคราบน้ำแร่ที่จะทำให้เกิดคราบจุด.
  2. หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง: ไม่ควรใช้สารเคมีที่รุนแรงหรือมีคลอไรด์ ซึ่งอาจทำลายผิวสแตนเลส.
  3. ใช้น้ำยาทำความสะอาดสแตนเลส: มีน้ำยาล้างสำหรับสแตนเลสเฉพาะที่มีขาย แต่ควรตรวจสอบว่าเป็นน้ำยาที่ไม่รุนแรงและเหมาะสมสำหรับการใช้งาน.
  4. ขัดเงาด้วยน้ำมัน: ใช้น้ำมันพืชบางประเภท เช่น น้ำมันมะลาว ลูบบนผิวสแตนเลสด้วยผ้านุ่มเพื่อเพิ่มความเงา.
  5. การขัด: ถ้าสแตนเลสมีรอยขีดข่วน, สามารถใช้ผ้าขัดหรือฟองน้ำที่เพื่อขัดเงา โดยเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกับเส้นขีดข่วนบนผิวสแตนเลส.
  6. รักษาสิ่งเจือปน: หากมีสิ่งเจือปนตกค้างบนผิว, เช่น น้ำยาจาน, สารเคมี, หรือเกลือ, ควรทำความสะอาดทันทีเพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาย.
  7. เช็ดให้แห้ง: หลังจากการทำความสะอาด, เช็ดให้แห้งด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าฝ้ายเพื่อไม่ให้มีคราบน้ำ.

ด้วยการดูแลและรักษาสแตนเลสอย่างถูกต้อง, จะทำให้สแตนเลสคงไว้ซึ่งความสวยงาม, เงางาม, และไม่เป็นสนิมได้อย่างยืนยาว.

ER80S-B2 กับ ER90S-B3 อะไรดีกว่ากัน

80s vs 90s

ER80S-B2 และ ER90S-B3 เป็นลวดเชื่อมโลหะผสมต่ำที่มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันเล็กน้อย การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะงานที่เฉพาะเจาะจง

Read more

การตั้งค่าความแรงของเครื่องกับ รอยเชื่อม MIG

การตั้งค่าความแรงของเครื่องกับรอยเชื่อม MIG

ตอนที่เราเชื่อม MIG นอกจากการเลือกเครื่องเชื่อมที่ดีแล้ว เลือกลวดให้เหมาะกับชิ้นงาน เลือกแก๊สให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะเชื่อมแล้ว เราก็ยังต้องตั้งค่าตอนที่เราเชื่อมด้วย โดยการตั้งค่า จะมี 2 ส่วนคือ กระแสตอนเชื่อม และ ความเร็วของฟีดลวด และอีกส่วนคือการลากมือของเราตอนเชื่อม

รวมแล้วมีทั้งหมด 3 ส่วนที่เราต้องพิจารณา และนี่คือ รอยเชื่อม MIG แต่ละแบบที่ออกมา เวลาที่เกิดการทำอะไรมากเกินไป

Read more